ศรีสะเกษ - ทนายยักษ์นำเจ้าของร้านขายมือถือแจ้งจับ “ทนายเก๊” หลอกจะว่าความทิพย์ให้หลายคดีฟันเงินกว่า 200,000 บาท แจ้งข้อหาฉ้อโกงทรัพย์ ขณะที่ทนายเก๊โทร.อ้อนวอนขอคืนเงินที่โกงไปก่อน 20,000 บาท เผยตำรวจเป็นผู้แนะนำให้รู้จักและใช้บริการทนายเก๊
วันนี้ (5 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ สภ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ นายบุญมี จอมหงส์ หรือทนายยักษ์ ทนายความชื่อดังได้นำ นายไพบูลย์ แสงศิวะเวทย์ อายุ 25 ปี อยู่บ้านเลขที่ 725/3 หมู่ 8 บ้านสว่าง ต.น้ำอ้อม อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ และ น.ส.กุลธิดารัตน์ ไตรไม้งาม อายุ 35 ปี ซึ่งเป็นภรรยาของนายไพบูลย์ เข้าแจ้งความต่อ ร.ต.อ.มหาราช เผ่าบ้านฝาง ร้อยเวรสอบสวน สภ.กันทรลักษ์ เพื่อให้ดำเนินคดีต่อนายกิตติ (ขอสงวนนามสกุล) ซึ่งอ้างตนเองว่าเป็นทนายความ และได้รับว่าความให้นายไพบูลย์ และ น.ส.กุลธิดารัตน์ โดยได้ขอเงินค่าดำเนินการว่าความและค่าใช้จ่ายในการดำเนินการต่างๆ ไปจำนวนทั้งสิ้น 205,500 บาท ซึ่ง ร.ต.อ.มหาราชได้รับแจ้งความดำเนินคดีอาญาไว้ ตามรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี สภ.กันทรลักษ์ ตร.ภ.จว.ศรีสะเกษ ตำรวจภูธรภาค 3 เลขที่ 0100 ลำดับ 2 ลงวันที่ 5 มิ.ย. 66 เวลา 10.58 น.เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
ขณะที่ นายบุญมี ทนายความชื่อดังกำลังนำสองสามีภรรยาแจ้งความดำเนินคดีอยู่นั้น ปรากฏว่านายกิตติที่อ้างตนเองว่าเป็นทนายความ ได้โทรศัพท์มาเจรจากับทนายบุญมี เพื่อจะขอคืนเงินที่เอาไปแล้ว โดยจะขอคืนเงินก่อนจำนวน 20,000 บาท ซึ่งทนายบุญมีได้ถามว่านายกิตติยอมรับหรือไม่ว่าไม่ใช่ทนายจริง ซึ่งนายกิตติได้ยอมรับว่าไม่ใช่ทนาย และจะขอคืนเงินก่อนจำนวน 20,000 บาทในช่วงบ่ายของวันนี้ หลังจากเคลียร์เอกสารแล้วจึงจะคืนเงินที่เอาไปทั้งหมดให้ผู้เสียหายต่อไป ซึ่งทนายบุญมีแจ้งให้นายกิตติ ทนายปลอมเร่งนำเอาเงินมาคืนให้ผู้เสียหายทั้งหมดโดยด่วนที่สุด
นายบุญมี จอมหงส์ ทนายความชื่อดัง กล่าวว่า ตนได้รับการติดต่อจากนายไพบูลย์และ น.ส.กุลธิดารัตน์ สองสามีภรรยาว่าขอให้ช่วยว่าความให้ เนื่องจากทนายความคนก่อนที่ได้ว่าจ้างให้ว่าความแล้วคดีไม่คืบหน้า ตนจึงได้ขอทราบชื่อทนายความคนดังกล่าว ทราบว่าชื่อกิตติ ตนจึงได้ขอตรวจสอบไปยังสภาทนายความ ปรากฏว่าไม่พบชื่อนายกิตติเป็นทนายความ และไม่มีใบอนุญาตว่าความแต่อย่างใด ดังนั้น ตนจึงได้นำสองสามีภรรยามาแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.กันทรลักษ์ เพื่อให้ดำเนินคดีข้อหาฉ้อโกงต่อนายกิตติที่แอบอ้างว่าตนเองเป็นทนายความ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ส่วนการที่นายกิตติโทรศัพท์มาเจรจาขอคืนเงินก่อนจำนวน 20,000 บาทนั้น ตนถือว่าเป็นการยอมรับว่ากระทำผิดจริง และเพื่อเป็นการแสดงความบริสุทธิ์ใจ ตนจึงให้นายกิตติโอนเงินมาคืนให้ผู้เสียหายในช่วงบ่ายของวันนี้ให้ได้ ส่วนเรื่องคดีความเป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
นายไพบูลย์ แสงศิวะเวทย์ อายุ 25 ปี กล่าวว่า ตนประกอบอาชีพเปิดร้านจำหน่ายโทรศัพท์มือถืออยู่ที่ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ ต่อมาปรากฏว่าตนได้ถูกลูกน้องในร้านโกงเงินไป อีกทั้งลูกค้าที่ขอซื้อโทรศัพท์เงินผ่อนไปแล้วไม่ยอมผ่อนค่าโทรศัพท์ ตนจึงได้ไปแจ้งความดำเนินคดีที่ สภ.เมืองศรีสะเกษ และต่อมาได้สอบถามกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่ารู้จักทนายความคนใดบ้าง ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองศรีสะเกษได้แนะนำให้ตนรู้จักทนายความชื่อกิตติ ตนจึงได้ติดต่อให้ว่าความให้ และให้ติดตามเรื่องโทรศัพท์ที่ลูกค้าไม่ยอมผ่อนค่างวดให้ โดยนายกิตติได้เรียกค่าดำเนินการไปจำนวน 20,000 บาทเศษ แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้าในการดำเนินการ
ต่อมา น.ส.กุลธิดารัตน์ ภรรยาของตนที่เปิดร้านขายโทรศัพท์มือถืออยู่ที่ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ก็ประสบปัญหาเช่นเดียวกัน ตนจึงได้แนะนำให้รู้จักกับนายกิตติที่อ้างตนว่าเป็นทนายความ เพื่อให้ช่วยว่าความดำเนินคดีให้ และทำให้ น.ส.กุลธิดารัตน์สูญเสียเงินไปกว่า 205,500 บาท โดยที่ไม่มีความคืบหน้าในการว่าความแต่อย่างใด ตนจึงได้ไปติดต่อกับทนายบุญมี เพื่อให้มาช่วยว่าความให้และสืบรู้ว่านายกิตติไม่ใช่ทนายความแต่อย่างใด ตนจึงได้มาแจ้งความเพื่อให้พนักงานสอบสวน สภ.กันทรลักษ์ ดำเนินคดีต่อนายกิตติตามกฎหมายต่อไป
น.ส.กุลธิดารัตน์ ไตรไม้งาม อายุ 35 ปี กล่าวว่า ก่อนเกิดเหตุ เมื่อประมาณต้นเดือน พ.ย. 65 ตนได้ว่าจ้างนายกิตติ ซึ่งแสดงตัวเป็นทนายความมีอำนาจว่าความตามกฎหมาย ให้ดำเนินการฟ้องร้อง นางปาณิษา และ น.ส.สมรใจ ในความผิดฐาน "ลักทรัพย์นายจ้าง และดำเนินการฟ้องร้องเกี่ยวกับเรื่องผิดสัญญากู้ยืม" ต่อมา ประมาณต้นเดือน พ.ค. 66 พบว่าคดีล่าช้าผิดปกติ จึงได้ทำการตรวจสอบ และเมื่อวันที่ 2 มิ.ย. 66 พบว่านายกิตติไม่ใช่ทนายความซึ่งไม่สามารถว่าความให้ตนได้ และไม่เคยมีการนำคดีดังกล่าวขึ้นสู่ศาลแต่อย่างใด ซึ่งตนได้ว่าจ้างให้นายกิตติว่าความประมาณ 5-6 คดี เช่น เรื่องโฉนดที่ดิน จำนวน 2 ผืน เรื่องลูกค้าที่ไม่จ่ายค่าเช่าซื้อโทรศัพท์ให้ เรื่องลูกน้องโกงเงิน และเรื่องรุ่นพี่ที่โกงเงินไป โดยนายกิตติได้คิดค่าว่าความเรื่องละ 30,000 บาท ตนได้จ่ายเงินให้นายกิตติไปแล้วหลายครั้ง เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 205,500 บาท
และต่อมาตนได้ไปติดต่อที่ศาล เพื่อขอรับเงินที่นายกิตติอ้างว่าจะมีคนนำเอาเงินมาส่งให้ จำนวน 20,000 บาท แต่เมื่อตนไปติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของศาลแล้ว แจ้งว่าไม่มีเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด ตนจึงรู้สึกสงสัยมากและได้พยายามติดต่อกับนายกิตติ แต่ว่านายกิตติไม่ยอมรับสาย และไม่อ่านไลน์ ตนจึงได้ไปติดต่อกับทนายบุญมี เพื่อให้มาว่าความในเรื่องนี้ให้ จนกระทั่งมารู้ความจริงว่านายกิตติไม่ใช่ทนายความแต่อย่างใด
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ตนรู้สึกเสื่อมศรัทธาต่อทนายความเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าในทุกอาชีพจะมีทั้งคนดีและไม่ดีก็ตาม ตนจึงอยากให้เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์สำหรับบุคคลทั่วไปว่าหากจะว่าจ้างทนายความคนใดให้ตรวจสอบดูให้ดีก่อน เพื่อไม่ให้ต้องถูกหลอกเหมือนกับที่ตนโดนนายกิตติ ทนายเก๊หลอกลวงในครั้งนี้
ทางด้าน ร.ต.อ.มหาราช เผ่าบ้านฝาง ร้อยเวรสอบสวน สภ.กันทรลักษ์ กล่าวว่า เรื่องนี้ตนจะได้รายงานให้ พ.ต.อ.นรินทร์ บุพตา ผกก.สภ.กันทรลักษ์ ทราบ จากนั้นจะได้ดำเนินการสอบปากคำผู้เสียหาย รวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียดรอบคอบ รวมทั้งจะต้องติดต่อไปยังสภาทนายความเพื่อขอทราบว่านายกิตติเป็นทนายความจริงหรือไม่ จากนั้นจะได้ออกหมายเรียกนายกิตติมาพบพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีในข้อหาฉ้อโกงต่อไป