ศูนย์ข่าวศรีราชา - รื้อแล้ว “บ้านสุขาวดี” หลังยื้อนานนับสิบปี สุดท้ายศาลปกครองสูงสุดยกเลิกคำสั่งคุ้มครองอาคารบนพื้นที่พิพาท 11 ไร่ ริมทะเล เมืองพัทยาเด้งรับทันทีจัดทั้งคน อุปกรณ์เข้าทุบ รื้อ ห้ามใช้อาคาร ก่อนว่าจ้างผู้รับเหมาเข้ารื้อใหญ่ เชื่อผลสรุปอาคาร B สุดท้ายไม่ต่างกัน
จากกรณีที่เจ้าหน้าที่เมืองพัทยา ได้ลงพื้นที่ปิดหมายประกาศตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 แบบ ค.3 ค.4 ค.7 และ ค.10 ในอาคาร 3 หลังซึ่งตั้งอยู่ภายใน “บ้านสุขาวดี” ต.นาเกลือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี หลังตรวจพบว่าอาคารเหล่านี้บุกรุกพื้นที่สาธารณะ และมีการก่อสร้างโดยไม่ได้รับอนุญาต
นอกจากนั้น ยังพบว่าตัวอาคารยังไม่ได้เว้นระยะ 20 เมตร ตามแนวร่นจากระดับน้ำทะเลตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเมืองพัทยาได้ทำการติดประกาศแจ้งเป็นรอบที่ 2 แต่บ้านสุขาวดี ในนามบริษัท เฮลท์ฟู้ดส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) จำกัด ได้อุทธรณ์คำสั่งต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จังหวัดชลบุรี
กระทั่งมีการพิจารณาว่าประกาศคำสั่งของ เมืองพัทยา ยังไม่ครบองค์ประกอบและเหตุผลในการรื้อถอนไม่ครบถ้วน จึงให้มีการดำเนินการออกคำสั่งใหม่นั้น
ล่าสุด วันนี้ (30 พ.ค.) นายสุริยา แก้วเขียว ผู้อำนวยการส่วนควบคุมอาคารเมืองพัทยา พร้อมด้วย นายคริส เชิดสุริยา หัวหน้าฝ่ายควบคุมอาคาร และนายมารุต อุทัยวัฒนานนท์ วิศวกรโยธาชำนาญการ นายเกียรติศักดิ์ คงเขียว วิศวกรโยธาชำนาญการ นายกฤษดาศักดิ์ เกตุจินดา นายช่างโยธา และเจ้าหน้าที่สำนักการช่างเมืองพัทยา ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่กว่า 30 นายพร้อมเครื่องมือและเครื่องจักรหนักเข้าดำเนินการรื้อถอนอาคาร A อย่างเป็นรูปธรรม โดยทำการรื้อแผ่นกระเบื้องพื้นเวที รวมทั้งสิ่งของต่างๆ ที่จัดวางไว้ และการตัดน้ำตัดไฟที่ใช้บนเวทีออกทั้งหมด
ทั้งนี้ ผุ้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะดำเนินการรื้อถอนได้มีทนายความของบ้านสุขาวดี เข้าคอยสังเกตการณ์อยู่ตลอดเวลา และพยายามที่จะขอให้เมืองพัทยา ชะลอเวลาการรื้อถอนออกไปก่อน เพราะเกรงว่าอาจทำให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินเกินความจำเป็น พร้อมอ้างว่าปัจจุบัน บ้านสุขาวดียังเปิดพื้นที่บางส่วนให้นักท่องเที่ยวได้เข้าเที่ยวชม แต่เจ้าหน้าที่เมืองพัทยาไม่สามารถยืดเวลาออกไปอีกได้จึงให้คำมั่นว่าจะดำเนินการรื้อถอนด้วยความละมุนละม่อม
สำหรับอาคาร A เป็นอาคารขนาดใหญ่ที่ก่อสร้างอยู่บนพื้นที่ดินสาธารณะขนาด 11 ไร่ 1 งาน โดยเป็นอาคารโครงเหล็ก 2 ชั้น จำนวน 1 หลัง และป้ายโฆษณาจำนวน 2 ป้าย ซึ่งก่อนหน้านี้ผู้ถูกฟ้องให้เหตุผลว่า อาคารดังกล่าวตั้งอยู่บนพื้นที่งอกตามธรรมชาติ แต่เมืองพัทยามั่นใจว่าจากแนวเขตการรังวัด และภาพถ่ายทางอากาศ อาคาร A บุกรุกพื้นที่สาธารณะอย่างแน่นอน และสุดท้าย เมื่อศาลปกครองมีคำสั่งยกเลิกการคุ้มครอง เมืองพัทยาจึงได้เข้าดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย
หลังได้ทำการลดพื้นที่ขนาดอาคาร C ให้อยู่ในระยะห่างจากทะเลตามกฎหมายไปแล้วก่อนหน้านี้ แม้บ้านสุขาวดีจะแจ้งว่าเป็นอาคารที่น้ำท่วมไม่ถึง แต่เมื่อเมืองพัทยาได้ทำการรังวัดแนวเขตจากระดับน้ำทะเลสูงสุดจนพบว่าตัวอาคารอยู่ในแนวที่มีการล่วงล้ำลำน้ำ
ส่วนอาคาร B ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างรอดำเนินการ เนื่องจากศาลยังให้การคุ้มครองตามหลักฐานที่บ้านสุขาวดีได้ส่งพิสูจน์ทราบทางกระบวนการยุติธรรม แต่เจ้าหน้าที่เมืองพัทยามั่นใจว่า ไม่ว่ากระบวนการพิสูจน์ทราบของที่ดินจะเป็นเช่นไร แต่อาคารที่ก่อสร้างโดยมิชอบหรือไม่ได้รับอนุญาต สุดท้ายแล้วศาลปกครองสูงสุดจะพิจารณาไต่สวนเพื่อยกเลิกคำสั่งการคุ้มครองเช่นเดียวกับอาคาร A จากนั้นจึงจะได้ทำการปิดหมายประกาศให้บ้านสุขาวดีทำการรื้อถอนเองภายใน 15 วัน
นายคริส เชิดสุริยา หัวหน้าฝ่ายควบคุมอาคาร สำนักการช่างเมืองพัทยา กล่าวว่าอาคารที่มีปัญหาของบ้านสุขาวดี ได้มีการต่อสู้ทางการปกครองระหว่างเมืองพัทยา กับบ้านสุขาวดีมาเป็นเวลานาน ซึ่งเมืองพัทยา ได้มีสั่งระงับการใช้อาคารและมีคำสั่งให้รื้อถอนมาโดยตลอด
แต่บ้านสุขาวดีกลับไม่ดำเนินการใดๆ จนล่วงเลยเวลาตามสิทธิของกระบวนการยุติธรรม ในวันนี้ เมืองพัทยาจึงต้องเข้ามาดำเนินการเองทั้งหมดเพราะไม่เช่นนั้นอาจเข้าข่ายกระทำผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าทึ่ตามมาตรา 157
“สำหรับขั้นตอนการรื้อถอนนั้น เบื้องต้นจะทำในลักษณะที่เจ้าของอาคารไม่สามารถเข้าใช้ประโยชน์ได้ ซึ่งคิดว่าน่าจะกินเวลาประมาณ 3-7 วัน จากนั้นเมืองพัทยา จะตั้งงบประมาณว่าจ้างผู้รับเหมาเข้ารื้อถอนอาคาร A เพราะเป็นอาคารขนาดใหญ่ และเกินกำลังที่เมืองพัทยาจะทำเองได้ ซึ่งค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนจะเรียกเก็บจากบ้านสุขาวดีต่อไป” หัวหน้าฝ่ายควบคุมอาคาร สำนักการช่างเมืองพัทยา กล่าว