“วัดพระธาตุพนม” ยกเลิกคำสั่งปิดวัด (บางส่วน) 1 เดือน เพื่อจัดระเบียบ หลังผู้ค้ายอมย้ายออกจากพื้นที่ โดยยังคงเปิดให้เข้าสักการะได้ตามปกติ ด้าน“ทนายอนันต์ชัย” ลั่นจะไม่ให้บุคคลใด ๆ เข้าแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบหรือมีการขายสินค้าใด ๆ ในบริเวณพื้นที่ของวัดอีก
จากกรณีที่ “วัดพระธาตุพนม วรมหาวิหาร” และ “ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช” ในฐานะประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม/ไวยาวัจกร/ประธานคณะกรรมการบริหารฯ/ประธานการบริหารงานภายใน-นอกวัดพระธาตุพนม วรมหาวิหาร ได้ออกมาประกาศว่าจะมีการปิดวัดพระธาตุพนมบางส่วนเป็นเวลา 1 เดือน ตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 เพื่อจัดระเบียบผู้ค้าที่รุกล้ำพื้นที่วัด จนทำลายบรรยากาศการท่องเที่ยว และอาจส่งผลกระต่อการขอ “องค์พระธาตุพนม” ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในอนาคต
ส่งผลให้เมื่อวันที่ 4 พ.ค. 66 ที่ผ่านมา ได้มีการประชุมหารือเผื่อหาทางออกในกรณีดังกล่าว จากหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็น พระเทพวรมุนี เจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนมฯ/ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 10 นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมคณะรองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม อัยการจังหวัดนครพนม รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม ปลัดจังหวัดนครพนม นายอำเภอธาตุพนม ผู้แทน กอ.รมน.จังหวัดนครพนม และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง พร้อมกับทนายเอื้อ มูลสิงห์ ไวยาวัจกร คณะกรรมการวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหารในฐานะเป็นตัวแทนทนายอนันต์ชัย ไชยเดช ซึ่งได้ข้อสรุปในที่ประชุมว่า วัดพระธาตุพนมยังคงเปิดให้ประชาชนเข้าสักการะได้ตามปกติ
ด้านเพจ ชุมชนคนนครพนม Nakhon Phanom Community ได้ออกมาให้ข้อมูลเพิ่มเติมถึงเรื่องดังกล่าวว่า
ประกาศยกเลิกการปิดวัดพระธาตุพนม
1.ประชาชนเข้าสักการะได้ปกติ
2.แผงค้า แผงหวยยอมรื้อถอนซุ้มทั้งหมด ย้ายไปในพื้นที่ที่จัดไว้
3.จัดการปัญหาพวกยัดเยียดขายของเชิงบังคับนักท่องเที่ยว เก็บเงินบนที่จอดรถฟรี
ขณะที่ ทนายอนันต์ชัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ ทนาย อนันต์ชัย ไชยเดช ดังนี้
#ประกาศยกเลิกปิด วัดพระธาตุพนม วรมหาวิหาร
ตามที่มีบุคคล ผู้ประกอบการ และผู้ค้าขายหลากหลายอาชีพในบริเวณวัดพระธาตุพนม วรมหาวิหาร ไม่รักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยภายในวัด กีดขวางการจราจร ยัดเยียดขายของเชิงบังคับจนเป็นที่เอือมระอาแก่ประชาชนที่ตั้งใจมาสักการะบูชาองค์พระธาตุพนม จนทางวัดพระธาตุพนม วรมหาวิหารต้องออกคำสั่งปิดวัดเป็นเวลา 1 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคม 2566 เป็นต้นไป ดังที่ทราบแล้วนั้น
วันนี้ ได้มีการประชุมร่วมหลายฝ่ายเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว นำโดยพระเทพวรมุนี เจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนม วรมหาวิหาร เป็นประธาน , ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม, ข้าราชการพลเรือน, ทหาร, ตำรวจ พร้อมด้วยไวยาวัจกรวัด และคณะกรรมการวัดฯ ได้ข้อสรุปว่า ทางจังหวัดนครพนมจะดำเนินการให้บุคคล และพ่อค้าแม่ค้า ฯ ทั้งหมด ออกไปจากบริเวณหน้าพื้นที่องค์พระธาตุพนมเป็นรูปตัว T โดยจะไม่ให้บุคคลใด ๆ เข้าแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบหรือมีการขายสินค้าใด ๆ ในบริเวณพื้นที่ของวัดอีก และจะจัดเจ้าหน้าที่เข้ามาดูแลพื้นที่ในทันทีเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย เมื่อทางวัดเข้าบริหารจัดการพื้นที่ของวัดได้แล้วดังนี้ เพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อประชาชนที่จะเดินทางมาสักการะองค์พระธาตุพนม วัดพระธาตุพนม วรมหาวิหาร ที่ประชุมจึง #มีมติให้ยกเลิกประกาศคำสั่งปิดวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
🙏และขอเรียนเชิญพุทธศาสนิกชนทุกท่านเดินทางมาสักการะองค์พระธาตุพนม ได้ตามปกติทุกวัน
สำหรับที่มาของเหตุการณ์ดังกล่าว สืบเนื่องมาจาก การที่พ่อค้าแม่ค้ากว่า 100 คน ได้เข้ามาขายของภายนอกและภายในบริเวณวัดพระธาตุพนม โดยเฉพาะบริเวณหน้าประตูทางเข้าวัด อันเป็นการบดบังทัศนียภาพองค์พระธาตุพนม และรบกวนนักท่องเที่ยว ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการแจ้งเตือนจากคณะกรรมการวัด อีกทั้งทางผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม และนายอำเภอก็ได้เข้ามาร่วมเจรจาแต่ก็ไม่สำเร็จ ทำให้ประชาชนที่จะเข้ามาสักการะองค์พระธาตุพนมเกิดความยากลำบากที่จะเข้าไปสักการะองค์พระธาตุพนม อีกทั้งสร้างความลำบากให้กับพระภิกษุ สามเณรที่จะปฏิบัติกิจของสงฆ์ อันเป็นการก่อความเดือดร้อนรำคาญเป็นอย่างมาก จึงทำให้ต้องมีการจัดระเบียบวัดพระธาตุพนมใหม่ตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น
“วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร" ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง ตำบลธาตุพนม อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม เป็นพระธาตุที่มีประวัติความเป็นมาอย่างยาวนาน จนได้รับการยกย่องว่าเป็นพระธาตุที่เก่าแก่มากที่สุดในแว่นแคว้นอีสาน ซึ่งได้ถูกจารึกไว้ในภาพจิตรฝาหนังภายในพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร
พระธาตุพนม เป็นพระธาตุประจำปีวอก และเป็นพระธาตุประจำวันเกิด ของผู้เกิดวันอาทิตย์ อีกทั้งยังเป็นที่เคารพของพุทธศาสนิกชนมากมายทั่วทั้งสารทิศ ซึ่งไม่ใช่เฉพาะชาวไทยแต่เพียงเท่านั้น พระธาตุพนมก็ยังได้รับการเคารพจากพุทธศาสนิกชนชาวลาวอีกด้วย
ทั้งนี้ในอนาคตจังหวัดนครพนมกำลังดำเนินการแผนผลักดันให้พระธาตุพนมขึ้นทะเบียนมรดกโลกในอนาคตต่อไป