อุทัยธานี - ร้องจ๊ากทั้งคนซื้อคนขาย ยันคนกิน..พืชผักหลายชนิดขึ้นราคา พริกขี้หนูสวนพุ่งพรวดกิโลฯ ละเกือบ 400 บาท แตงกวา ต้นหอม ผักชี ถั่วฝักยาว ปรับราคาขึ้นหมด แม่ค้าส้มตำบอกควงสากตำส้มตำขายมา 20 ปีเพิ่งเคยเจอ
ขณะนี้ราคาพืชผักตามแผงตลาดสดต่างๆ บางรายการปรับขึ้นสูงมากเป็นเท่าตัว ซึ่งจากการพูดคุยสอบถามแม่ค้าแผงผักที่ขายประจำอยู่ที่ตลาดสดเทศบาลเมืองอุทัยธานีมานานนับ 10 ปี เปิดเผยว่า ตอนนี้ผักที่ขึ้นราคาสูงที่สุดก็คือ พริกขี้หนูสวน ราคาขึ้นมาถึงกิโลกรัมละ 360 บาท จากช่วงก่อนที่ราคาขายขยับขึ้นมาอยู่ที่กิโลกรัมละ 300 บาท
ขณะที่ผักอื่นๆ ต่างก็ขยับราคาขึ้นตามกันมาด้วยเช่นกัน เช่น แตงกวา ตอนนี้กิโลกรัมละ 40 บาท จากเดิม 20 บาท ถั่วฝักยาว กิโลกรัมละ 60 บาท จากเดิม 40 บาท ต้นหอม กิโลกรัมละ 150 บาท จากเดิมที่ 90-100 บาท ทำให้ตอนนี้ทุกร้านต้องขอปรับราคาขึ้นตามต้นทุนที่รับมา
ส่วนสาเหตุที่ราคาขายส่งผักสูงขึ้นนั้น คาดว่าน่าจะเกิดจากช่วงนี้ยังคงแล้ง เกษตรกรชาวสวนที่ปลูกผักขายก็โดนผลกระทบขาดแคลนน้ำ ประกอบกับอากาศที่ร้อนจัด ทำให้พืชผักเหี่ยวเฉา ตายได้ง่ายกว่าปกติอีกด้วย รวมทั้งต้นทุนการขนส่ง จึงเป็นผลรวมให้ราคาต้นทุนผักสดถูกปรับขึ้นเป็นทอดๆ
ซึ่งผลจากที่ราคาผักขึ้นในช่วงนี้พ่อค้า แม่ค้าแผงผักต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ลูกค้าที่ออกมาจับจ่ายซื้อกับข้าวกันนั้น ต่างก็บ่นตามๆ กันว่าราคาของขึ้นสูงมาก แต่ก็ต้องจำยอมกันไป
ด้านนางอำพร ทรัพย์สมบัติ เจ้าของร้านส้มตำเจ๊พร ซึ่งขายอยู่ที่ตึกแถวถนนสายทัพทัน-ตลุกดู่ เขตเทศบาลตำบลทัพทัน จ.อุทัยธานี กล่าวว่า ตนขายส้มตำมานานกว่า 20 ปี ยังไม่เคยเจอกับต้นทุนพริกขี้หนูสวน มะนาว ถั่วฝักยาว และมะละกอ ที่แพงขนาดนี้มาก่อน ตอนนี้ต้นทุนของวัตถุดิบนั้นขึ้นเกือบทุกอย่าง ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นเพราะความแห้งแล้งที่ทำให้ผลผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการ
อย่าง มะละกอ เคยซื้อกิโลกรัมละ 5-10 บาท ตอนนี้ขยับขึ้นมาเป็นกิโลกรัมละ 20 บาท ตั้งแต่ขายส้มตำมา 20 ปีก็เพิ่งเคยเจอเหมือนกัน ถั่วฝักยาวเคยซื้อแพงสุดไม่เกินกิโลฯ ละ 40-50 บาท ตอนนี้พุ่งสูงขึ้นไปเป็นกิโลกรัมละ 100 บาท อีกทั้งพริกขี้หนูสวน เคยซื้อกิโลกรัมละ 100-120 บาท ตอนนี้พริกขี้หนูสวนในพื้นที่ปรับขึ้นมาเป็นกิโลกรัมละ 250 บาท ถ้าซื้อในตัวเมืองจะพุ่งสูงถึงกิโลกรัมละ 360 บาท ส่วนมะนาว ตอนนี้ราคาก็ปรับขึ้นมาเป็นลูกละ 4-5 บาท แล้วแต่ขนาด รวมไปถึงผักอื่นๆ ที่ต้องใช้ ก็มีการปรับขึ้นอีกหลายตัว ทำให้ต้องแบกรับต้นทุนหนักมาก
แต่ที่ร้านก็ยังคงขายส้มตำราคาเท่าเดิม ที่ครกละ 30 บาท อาศัยขายจำนวนมากแม้จะมีกำไรไม่มาก ทนแบกภาระต้นทุนไปสักระยะหนึ่งก่อน หากวัตถุดิบยังคงราคาสูงขึ้นไปอีกนานก็อาจจะต้องปรับราคาไปตามต้นทุนที่สูงขึ้น แต่ก็หวังว่าจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ เมื่อเข้าสู่ฤดูฝน ความแห้งแล้งหายไป ผลผลิตออกสู่ตลาดมากขึ้นราคาก็จะถูกลงเหมือนเดิม ก็จะทำให้การค้าขายเข้าสู่ภาวะปกติ