สามเหลี่ยมทองคำ - ลาวอ้างปราบน้ำมันเถื่อน จับเรือพม่ากักยาว 5 วัน หลังขนน้ำมัน 280 ตันออกจากท่าเรือฯ ไทยตามข้อตกลงเดินเรือพาณิชย์ 4 ชาติลุ่มน้ำโขง ล่าสุดปล่อยแล้ว ถือโอกาสจัดระเบียบท่าเรือริมน้ำโขง แขวงหลวงน้ำทา ยกกระบิ
รายงานข่าวจากชายแดนไทย-สปป.ลาว ด้าน อ.เชียงแสน จ.เชียงราย แจ้งว่า กองร้อย 133 กองบัญชาการทหารแขวงหลวงน้ำทา สปป.ลาว ซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขงชายแดน สปป.ลาว-เมียนมา ห่างจากสามเหลี่ยมทองคำ อ.เชียงแสน ไปทางทิศเหนือประมาณ 160 กิโลเมตร ได้กักเรือขนน้ำมันเชื้อเพลิงในแม่น้ำโขงชื่อเรือ Wanpong 02 สัญชาติเมียนมาเอาไว้ที่ท่าเรือเชียงกก เมืองลอง แขวงหลวงน้ำทา
หลังจากเรือดังกล่าวขนน้ำมันเชื้อเพลิงขนาด 280 ตัน ออกจากท่าเรือ อ.เชียงแสน ของไทยและแล่นผ่านแขวงหลวงน้ำทาเมื่อวันที่ 13 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยทางลาวได้กักเรือดังกล่าวพร้อมลูกเรือเอาไว้แล้วหลายวัน
ต่อมากรมเจ้าท่าของประเทศไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ประสานไปยัง สปป.ลาว เพื่อทำความเข้าใจว่าเรือดังกล่าวได้ปฏิบัติตามข้อตกลงการเดินเรือพาณิชย์ในแม่น้ำโขงตอนบน 4 ชาติ (ไทย สปป.ลาว เมียนมา จีนตอนใต้) อย่างถูกต้อง และได้รับสินค้าจากท่าเรือในแม่น้ำโขงของประเทศไทยไปตามเส้นทางสากล
ขณะที่ทาง สปป.ลาวได้ตรวจสอบเอกสารการขนสินค้าของเรือดังกล่าวอย่างละเอียดและสอบปากคำทราบว่าเรือจะขนน้ำมันเชื้อเพลิงไปยังท่าเรือสบหรวย ประเทศเมียนมา ซึ่งอยู่ห่างขึ้นไปอีกประมาณ 30-40 กิโลเมตร
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดท่านสมพาวัน จันทะจักวง รองหัวหน้าห้องว่าการแขวงหลวงน้ำทา ได้จัดประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ด่านศุลกากร ตำรวจ ทหาร การต่างประเทศ อุตสาหกรรมการค้า ฯลฯ ที่ด่านเชียงกก เพื่อแก้ไขปัญหาการกักเรือบรรทุกน้ำมันเชื้อเพลิง
ท่านสมพาวันได้แจ้งต่อที่ประชุมว่าก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งว่าจะมีเรือบรรทุกน้ำมันเถื่อนลักลอบนำเข้าที่บริเวณด่านบ้านเชียงกก ทำให้เจ้าหน้าที่ทหารกองร้อย 133 กองบัญชาการทหารแขวง ที่เห็นเรือ Wanpong 02 แล่นผ่านมาให้สัญญาณให้จอดเทียบท่าในเขตเมืองลองเพื่อทำการตรวจสอบดังกล่าว
หลังการประชุมทางท่านสมพาวันและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่าให้ปล่อยเรือที่กักไว้เพราะไม่ได้เป็นเรือที่ลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงไปยัง สปป.ลาว แต่อย่างใด และยังปฏิบัติตามข้อตกลง 4 ชาติแล้ว รวมทั้งได้จัดตั้งหน่วยงานประสานงานเพื่อปฏิบัติการโดยเร็วตั้งแต่วันที่ 17 พ.ค.นี้เป็นต้นไป
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีมติให้แจ้งแขวงหลวงน้ำทาการปิดท่าเรือต่างๆ ในเขตดังกล่าวซึ่งมีผู้ประกอบการลักลอบเปิดท่าเรือโดยไม่ได้รับอนุญาตอยู่หลายแห่งทำให้ยุ่งยากในการตรวจสอบ
ทั้งนี้ ตามข้อตกลงการเดินเรือพาณิชย์ในแม่น้ำโขงตอนบน 4 ชาติ กำหนดให้แขวงหลวงน้ำทามีท่าเรือสากลร่วมกันเพียงแค่ 2 แห่ง คือ ท่าเรือเชียงกก และท่าเรือบ้านซาย เมื่อจัดระเบียบแล้วจะทำให้สะดวกต่อการตรวจสอบและสกัดกั้นการลักลอบขนสินค้าผิดกฎหมายและค้าขายสินค้าหนีภาษี ซึ่งการประชุมได้จัดทำเป็นบันทึกเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปปฏิบัติโดยพร้อมเพรียงกันด้วย
น.ส.ผกายมาศ เวียร์รา รองประธานหอการค้า จ.เชียงราย และนักธุรกิจลุ่มแม่น้ำโขง กล่าวว่า เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก หลังจากนั้นทางสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาเชียงราย ศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดในแม่น้ำโขง (ศปปข.) ของไทย หอการค้า ฯลฯ ได้ร่วมกันประสานงานเนื่องจากเรือดังกล่าวออกจากท่าเรือของไทยกระทั่งมีการปล่อยเรือแล้วเมื่อเย็นวันที่ 17 พ.ค.ที่ผ่านมาดังกล่าว
รายงานจากด่านศุลกากรเชียงแสนแจ้งว่าสินค้าประเภทน้ำมันเชื้อเพลิงถือเป็นสินค้าส่งออกที่มีมูลค่าติด 10 อันดับแรกของประเทศไทยมาโดยตลอด โดยในปีงบประมาณ 2565 ที่ผ่านมามีการส่งออกผ่านท่าเรือเชียงแสนไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ประกอบด้วย น้ำมันดีเซล น้ำหนัก 7,612 ตัน มูลค่า 262.773 ล้านบาท น้ำมันเบนซิน น้ำหนัก 4,315 ตัน มูลค่า 133.162 ล้านบาท
