กำแพงเพชร - เจ้าของโรงสีใหญ่กำแพงเพชรเดินหน้าชน โต้ อคส.อ้างข้าวไหม้-ข้าวเน่าคาคลังเป็นของโรงสี แต่ อคส.เบิกเงินประกันภัยไปกว่า 10 ล้าน ยันทุกเรื่องโรงสีฟ้องจนเป็นคดี อคส.มีแต่ฟ้องแย้ง พร้อมถามกลับหยิบตัวเลขเรียกค่าเสียหาย 6 พันล้านมาจากไหน
ความคืบหน้ากรณีผู้ประกอบการโรงสีใหญ่ของจังหวัดกำแพงเพชรออกมาแฉ อคส.ทิ้งข้าวเน่าและพร้อมทวงค่าเช่าคลังสินค้า ที่ อคส.ใช้เก็บรักษาข้าวสารในสต๊อกของรัฐ จากโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปี 54/55, ปรัง 55, ,ปี 56 เป็นเงิน 336 ล้านบาทเศษ
ต่อมานายเกรียงศักดิ์ ประทีปวิศรุต ผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (อคส.) ได้ออกมาชี้แจงว่า อคส.ยังคงสงวนสิทธิ์การเรียกค่าเสียหายอันเนื่องมาจากการยึดหน่วงหรือการที่โรงสีรายนี้ไม่ยอมส่งมอบข้าวให้แก่ผู้ชนะการประมูลข้าวในสต็อกช่วงที่ผ่านมา ทำให้ผู้ชนะการประมูลไม่สามารถขนข้าวออกจากโกดังได้ ซึ่งขณะนี้อยู่ในช่วงของการพิจารณาของศาล นอกจากนี้ยังฟ้องร้องค่าเสียหายกับโรงสีใหญ่รายนี้ 3 คดี คือ กรณียึดหน่วง ข้าวที่เหลือจากโครงการปรับปรุงข้าวบรรจุถุงผิดชนิดและข้าวดังกล่าวเกิดไฟไหม้ อยู่ระหว่างการเรียกค่าเสียหายจากโรงสีอีก 3,640.18 ล้านบาท และกรณีผิดสัญญาจ้างปรับปรุงข้าวถุงรวม 5 สัญญา ค่าเสียหายทั้งสิ้น 6,248.55 ล้านบาท
ล่าสุด นายมนต์ชัย รุ่งชาญชัย หรือเสี่ยหรั่ง ประธานกรรมการ บริษัท สิงห์โตทองไรซ์คอร์ปอเรชั่น จำกัด ได้ออกมาชี้แจงผ่านสื่อมวลชนอีกครั้งว่า กรณี อคส.ระบุว่าข้าวเน่าเสียที่อยู่หน้าคลังบริษัทสิงห์โตทองฯ ไม่ใช่ข้าวของ อคส.แต่เป็นข้าวของโรงสีนั้น ขอชี้แจงในข้อเท็จจริงว่า ถ้อยแถลงดังกล่าวคงไม่ถูกต้อง
เสี่ยหรั่งระบุว่าข้าวที่กองอยู่ด้านหน้าคลังของบริษัท เป็นข้าวของ อคส.ที่ย้ายออกมาจากคลังหลัง A1 ซึ่งเมื่อปี 2558 เดือนพฤษภาคมนั้นได้เกิดเพลิงไหม้ขึ้น สต๊อกข้าวเหนียวเสียหายจำนวน 4,187 กระสอบ และเมื่อวันที่ 25 พฤษจิกายน 2558 อคส.ได้แต่งตั้งคณะทำงานการควบคุมดูแลการขนย้ายและการคัดแยกข้าวสารคลังสินค้าหลัง A1 ดังกล่าว คณะกรรมการดูแลคัดแยกข้าวยังมีข้อเสนอแนะให้ขนย้ายข้าวที่กองอยู่ด้านนอกคลัง ให้นำไปเก็บไว้ในคลัง A1 ที่ยังมีพื้นที่ว่างอยู่ประมาณ 15,000 กระสอบ
และ อคส.ได้มีการเปิดประมูลขายข้าวคลัง A1 เป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อปี 2563 ผู้ชนะการประมูลได้ขนย้ายข้าวออกไปจำนวนหนึ่งแล้ว คงยังเหลืออยู่ประมาณ 2 พันตัน ที่ผู้ซื้อยังไม่มาขนย้ายออกไป ซึ่งข้าวจำนวนนี้ก็ยังอยู่ในความดูแลขององค์การคลังสินค้า
“ต้องถามว่า ถ้าข้าวที่กองไว้นอกคลัง A1- ที่องค์การคลังสินค้าอ้างว่าเป็นข้าวผิดชนิดและข้าวเสียหายจากไฟไหม้เป็นของโรงสี เมื่อปี 2560 อคส.จะเบิกค่าสินไหมทดแทนจากบริษัททิพยประกันภัยได้อย่างไร ซึ่งในความเสียหายของข้าวสารที่เกิดไฟไหม้ในสต๊อกสินค้าหลังที่ A1 ตามกรมธรรม์ประกันอัคคีภัยเลขที่ 1200-108-144385231 บริษัทประกันภัยได้สรุปความเสียหายภายใต้ความคุ้มครองโดยจ่ายค่าสินใหม่ทดแทนให้แก่ อคส.เป็นเงินจำนวน 10,894,574 บาท”
นายมนต์ชัย หรือเสี่ยหรั่ง กล่าวอีกว่า เรื่องนี้ตนได้ทำหนังสือร้องทุกข์กล่าวโทษเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมายถึงผู้อำนวยการ ป.ป.ช.กำแพงเพชร กรณี อคส.ได้ย้ายข้าวออกมากองไว้ข้างนอกคลัง ปริมาณ 3,000-4,000 ตันตั้งแต่ปี 2558 ด้วย เพราะ อคส.และเจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่ต้องดูแลรักษาคุณภาพข้าวสารให้คงสภาพดีเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ แต่กลับละเว้นไม่ปฏิบัติหน้าที่ ไม่ได้มีการดูแลรักษาคุณภาพข้าวเป็นระยะเวลากว่า 5 ปี ทำให้ข้าวดังกล่าวเน่าเสียจึงถือว่าความเสียหายของรัฐในครั้งนี้เป็นการละเว้นในการปฎิบัติหน้าที่ของ อคส.และเจ้าหน้าที่
นอกจากนี้ การตรวจสอบสต๊อกคงเหลือ อคส.จะมีการตรวจสอบปีละ 2 ครั้งด้วยกัน ถ้าข้าวกองนี้ไม่ใช่ทรัพย์สินของ อคส.ทำไมจึงมีการตรวจสอบสต๊อกปีละ 2 ครั้ง ตามเอกสารการตรวจสอบสต๊อกสินค้า วันที่ 31 มีนาคม 2565 คงเหลือตามบัญชี 16,909 กระสอบ หรือประมาน 2,000 ตัน ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2565 จำนวนเหลือยังคงเดิม และปีนี้ อคส.มีกำหนดตรวจสต๊อกครั้งแรกในเดือนหน้า จึงยืนยันได้ว่าข้าวจำนวนนี้เป็นข้าวของ อคส.
ส่วนกรณีที่ ผอ.อคส.ออกมาให้ข่าวว่า อคส.เรียกร้องค่าเสียหายจากโรงสี 6 พันกว่าล้านบาทนั้น เสี่ยหรั่งบอกว่าไม่รู้ว่าเอาตัวเลขค่าเสียหายมาจากไหน มีอะไรบ้าง เบื้องต้นเรื่องนี้ทางบริษัทสิงห์โตทองฯ ได้ทำหนังสือปฏิเสธค่าเสียหายไปแล้วเมื่อปี 2562 ว่าไม่ได้เป็นผู้ผิดสัญญาจ้างปรับปรุงข้าวสารบรรจุถุงจำนวน 5 ฉบับที่ได้ทำไว้กับ อคส.
เสี่ยหรั่งยืนยันว่าบริษัทส่งมอบข้าวสารที่เหลือจากการปรับปรุงบรรจุถุงคืนให้แก่ อคส.ครบถ้วนตามบัญชี เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2557 รายละเอียดตามหนังสือบริษัท ที่ STTขถ.12/2557 ลว.3 กันยายน 2557 และ อคส.ก็ได้รับทราบยืนยันตัวเลขที่ตรงกัน
และที่จริงตนต่างหากที่เป็นฝ่ายฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากสัญญาฝากเก็บรักษาข้าวสาร ปี 56/57 เป็นจำนวนเงินกว่า 100 ล้านบาท และองค์การคลังสินค้าก็ได้ฟ้องแย้งซึ่งปัจจุบันเรื่องอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองกลาง