บุรีรัมย์ - พ่อแม่คาใจลูกสาวท้อง 8 เดือนตายทั้งกลมพร้อมลูกในท้องไม่ทราบสาเหตุทั้งที่ฝากครรภ์กับคลินิกราคาแพง ไปตรวจตามหมอนัดประจำ สุดท้ายพบลูกตายในท้องหลายวันส่วนแม่ติดเชื้อในกระแสเลือด แม่ผู้ตายตัดพ้อถ้าหมอใส่ใจกว่านี้ลูกและหลานในท้องคงไม่ตาย ลูกสาวอีกคน 1 ขวบ 4 เดือนต้องกำพร้าแม่ ด้าน ผอ.รพ.บุรีรัมย์เผยเร่งสอบหาสาเหตุพร้อมเยียวยาตามสิทธิ
วันนี้ (9 ก.พ.) ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่ามีหญิงอายุ 31 ปี ชาวตำบลบ้านบัว อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ ตั้งครรภ์ 8 เดือนใกล้คลอดแต่เสียชีวิตแบบตายทั้งกลมพร้อมลูกในท้องโดยไม่ทราบสาเหตุ ทั้งที่ฝากครรภ์พิเศษกับคลินิกและไปตรวจตามที่หมอนัดเป็นประจำ กระทั่งล่าสุดมีอาการไข้ และผื่นคัน เข้ารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ก่อนจะตรวจพบว่าลูกในท้องเสียชีวิตมาแล้วหลายวัน เมื่อผ่าตัดเอาเด็กออกกลับทำให้ผู้เป็นแม่เสียชีวิตไปพร้อมกับลูกชายในครรภ์ วัย 8 เดือนด้วย
จากนั้นผู้สื่อข่าวจึงได้เดินทางไปยังวัดบ้านบัว อ.เมืองบุรีรัมย์ ที่ทางครอบครัวได้นำร่างของ น.ส.จิณัฐตา วุฒิวงศ์ อายุ 31 ปี หญิงที่เสียชีวิตพร้อมลูกในท้อง มาตั้งบำเพ็ญกุศลตามประเพณี โดยบรรยากาศในงานเป็นไปด้วยความโศกเศร้าเสียใจ โดยเฉพาะ นายชัย วุฒิวงศ์ ผู้เป็นพ่อซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้าน และนางจิต ผู้เป็นแม่ที่เป็นประธาน อสม. รวมถึง นายพิเชษฐ์ ลูกเขยซึ่งเป็นสามีของคนตาย ต่างยังทำใจไม่ได้ต่อการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปพร้อมกันถึง 2 ชีวิต และที่สงสารคือ ด.ญ.เอ (นามสมมติ) อายุ 1 ขวบ 4 เดือน ซึ่งเป็นลูกสาวคนโตของ น.ส.จิณัฐตา ที่ต้องกำพร้าแม่
นายพิเชษฐ์ สามีผู้เสียชีวิต เล่าว่า ตนกับภรรยามีลูกสาวด้วยกันแล้ว 1 คน อายุได้ 1 ขวบ 4 เดือน ต่อมาภรรยาได้ตั้งท้องลูกคนที่สอง ก็อยากให้ภรรยาและลูกในท้องสมบูรณ์ จึงพาไปฝากครรภ์พิเศษกับคลินิกหมอเฉพาะทางแห่งหนึ่งในตัวเมืองบุรีรัมย์ตั้งแต่ตั้งครรภ์ได้ 2 เดือน ก็ไปพบหมอที่คลินิกทุกครั้งที่หมอนัด โดยจะเสียค่าใช้จ่ายครั้งละ 900-1,200 บาท ช่วงอายุครรภ์ภรรยาได้ 6-7 เดือนจะไปหาหมอที่คลินิกบ่อยขึ้น เพราะภรรยามีอาการผิดปกติ หมอคลินิกให้ยามากินเป็นประจำ แต่อาการกลับไม่ดีขึ้น จนกระทั่งเมื่อวันที่ 28 ม.ค.ที่ผ่านมาไปพบหมอตามนัด โดยหมอแจ้งว่า "เด็กไม่ค่อยดิ้น" แล้วส่งตัวไปที่โรงพยาบาลบุรีรัมย์ หมอให้น้ำเกลือแล้วกลับบ้าน
ต่อมาเช้าวันที่ 6 ก.พ. ภรรยามีผื่นขึ้นตามตัว มีไข้อ่อนๆ จึงไปหาหมอที่ รพ. หมอให้ยาแก้ไข้มากิน แต่กินแล้วอาการไม่ดีขึ้น ช่วงค่ำวันเดียวกันมีอาการปวดท้องจึงตัดสินใจไปหาหมอที่โรงพยาบาลบุรีรัมย์อีกครั้ง หลังจากหมอตรวจอาการได้ส่งตัวภรรยาเข้าห้องผ่าตัดเพื่อผ่าเอาลูกในท้องออก เนื่องจากลูกชายที่อยู่ในท้องเสียชีวิตแล้วหลายวัน ต่อมาอาการภรรยาทรุดหนัก สุดท้ายหมอแจ้งว่าติดเชื้อในกระแสเลือด ทำให้ไตวายเฉียบพลัน และเสียชีวิตในวันที่ 7 ก.พ.ที่ผ่านมา
ส่วนตัวติดใจว่าภรรยาฝากท้องพิเศษไปพบหมอตามนัดทุกครั้ง แต่ทำไมหมอถึงไม่รู้ว่าลูกในท้องเสียชีวิตแล้ว ปล่อยให้อยู่ในท้องหลายวันแล้วค่อยตรวจเจอตอนอาการทรุดหนัก จนสุดท้ายภรรยาเสียชีวิต ก็อยากให้รับผิดชอบและเยียวยาจากกรณีที่เกิดขึ้น เพราะยังมีลูกน้อยอีกคนที่ต้องดูแล
ด้าน นางจิต แม่ผู้เสียชีวิต บอกว่า ลูกสาวไม่มีโรคประจำตัว คลอดลูกสาวคนแรกก็ปกติดี แต่ก็แปลกใจว่าไปฝากครรภ์พิเศษที่คลินิก ไปพบหมอตามนัดคลอด แต่ทำไมหมอไม่รู้ว่าเด็กในท้องเสียชีวิตตั้งแต่เมื่อไหร่ปล่อยทิ้งไว้ตั้งหลายวัน จนลูกสาวอาการหนักแล้วถึงมาตรวจเจอแล้วพอมาผ่าตัดออกลูกสาวตนก็ต้องมาเสียชีวิต ซึ่งหากหมอใส่ใจติดตามอาการมากกว่านี้ทั้งลูกสาวและหลานในท้องคงไม่ตาย ที่เลือกไปฝากครรภ์พิเศษเพราะคิดว่าทั้งแม่และลูกจะฝากชีวิตไว้กับคุณหมอได้ แต่สุดท้ายต้องมาเสียชีวิต ก็ไม่ได้อยากจะโทษหมอ แค่อยากฝากเป็นอุทาหรณ์ว่าควรใส่ใจคนไข้มากกว่านี้ ส่วนเรื่องจะช่วยเหลือเยียวยาขึ้นอยู่กับทาง รพ.และผู้เกี่ยวข้อง
ทางด้าน นพ.ภูวดล กิตติวัฒนาสาร ผู้อำนวยการ (ผอ.) โรงพยาบาลบุรีรัมย์ ให้ข้อมูลว่า จากข้อมูลรายงานทราบว่า คนไข้ได้เข้ามารักษาที่ รพ.บุรีรัมย์เมื่อช่วงเช้าวันที่ 6 ก.พ.ด้วยอาการผื่นคันตามตัว หมอผิวหนังก็ตรวจรักษาและให้ยากลับไปรับประทานตามปกติ แต่คนไข้ไม่ได้แจ้งว่าครรภ์พบความผิดปกติ จึงไม่ได้ส่งไปตรวจที่แผนกสูตินรีเวชกรรม กระทั่งช่วงเย็นคนไข้มีอาการหนักกลับมาที่ รพ.อีกครั้ง ก็ส่งเข้าห้องฉุกเฉินถึงตรวจพบว่ามีของเสียในท้อง ซึ่งหมายถึงเด็กในครรภ์เสียชีวิตแล้ว หมอจึงได้ผ่าเอาเด็กออกและพยายามช่วยชีวิตคุณแม่ แต่ไม่สามารถยื้อชีวิตไว้ได้เพราะมีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดและไตวาย
เบื้องต้นได้ให้เจ้าหน้าที่ไปเคารพศพและแสดงความเสียใจต่อครอบครัวแล้ว หลังจากนี้จะได้หาแนวทางช่วยเหลือเยียวยาตามสิทธิอย่างเต็มที่ พร้อมทั้งจะได้หาสาเหตุหรือความบกพร่องที่เกิดขึ้นเพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไขต่อไป