xs
xsm
sm
md
lg

ทึ่ง! องุ่นเมืองหนาว นำต้นพันธุ์ปลูกที่อุบลฯ ได้ผลผลิตและรสชาติดีไม่ต่างจากแดนกิมจิ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



อุบลราชธานี - สุดยอดดินไทย ปลูกได้ทุกอย่าง ล่าสุดองุ่นเมืองหนาวจากแดนกิมจิปลูกในอีสาน ที่จังหวัดอุบลราชธานี พบให้ผลผลิตและรสชาติดี ขายผลผลิตปีแรกได้เกือบครึ่งล้านบาท ตั้งเป้ารอบหน้าทำยอดกว่า 2 ล้านบาท พร้อมเปิดให้ลูกค้าเข้าชมสวนและสั่งจองได้แล้ว


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า องุ่นเลื่องชื่อเมืองหนาวจากประเทศเกาหลีใต้สามารถปลูกได้ในพื้นที่แห้งแล้งของภาคอีสาน ที่จังหวัดอุบลราชธานี ผลผลิตและรสชาติที่ได้แทบไม่ต่างจากผลผลิตองุ่นที่ปลูกจากเกาหลีใต้ ที่สำคัญ องุ่นเมืองหนาวที่มาปลูกเมืองร้อนกลับใช้ระยะเวลาแค่ 70-90 วันก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้แล้ว โดยสวนองุ่นดังกล่าวตั้งอยู่ที่บ้านหนองกินเพลใต้ ต.หนองกินเพล อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี

น.ส.เด่นภา ถาวรสาย เจ้าของบ้านสวนองุ่นฮัน ลี ตั้งอยู่บ้านหนองกินเพลใต้ ตำบลหนองกินเพล อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี เล่าถึงที่มาที่ไปของการมาทำสวนองุ่นในแดนบ้านเกิดว่า ตนมีสามีเป็นเจ้าของสวนผลไม้อยู่ที่ประเทศเกาหลี จึงลองนำพันธุ์องุ่นไชน์มัสแคต และองุ่นพันธุ์มายฮาร์ต (องุ่นรูปหัวใจ) โดยใช้เทคโนโลยีเหมือนที่บ้านสามีมาต่อยอดปลูกที่บ้านเกิด เพื่อสร้างรายได้อีกทางหนึ่ง

แรกๆ ก็ยังไม่มั่นใจ เพราะจังหวัดอุบลราชธานีอยู่ในดินแดนแห้งแล้งของอีสาน เดิมก็ทำสวนยางพารา ปลูกข้าวกิน องุ่นซึ่งเป็นผลไม้เมืองหนาวจะทนต่อสภาพความแห้งแล้ง และความร้อนของภูมิภาคได้หรือไม่ แต่เมื่อลองทำก็ปรากฏให้ผลเป็นที่น่าพอใจยิ่ง เพราะองุ่นที่นำมาปลูกได้ผ่านวิกฤตทั้งพายุโนรู ที่ทำให้มีน้ำมาก ทั้งที่เป็นช่วงต้องให้อดอาหารและน้ำต้องไม่มากจนเกินไป

ผลผลิตชุดแรกที่ให้ผลผลิตออกพวงให้เก็บได้มากถึง 1,600 พวง เฉลี่ยขณะนี้น้ำหนักต่อพวงกว่า 4 ขีด เพราะให้ผลโตสมวัย ส่วนความหวาน หอม ก็ไม่น้อยหน้าจากต้นตำรับ ซึ่งเป็นที่นิยม ขณะนี้เหลือเพียงเสียงตอบรับจากผู้บริโภคเรื่องความกรอบเท่านั้น เพราะผลองุ่นจะให้ผลโตเต็มที่ เก็บขายได้จริงๆ ในราวเดือนมีนาคมถึงเมษายน ขณะนี้ก็อยู่ในช่วงให้ลูกค้าจองไว้ก่อน โดยองุ่นไซส์พรีเมียมหนักพวงละ 600 กรัมขึ้นไป กิโลกรัมละ 750 บาท ซึ่งมียอดจองแล้วกว่า 70 กิโลกรัม ที่เหลือยังเปิดจองไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมด

น.ส.เด่นนภากล่าวต่อว่า องุ่นที่ตกไซส์ลงมาหน่อยก็จะมีราคาเหลือไม่เกินกิโลกรัมละ 500 บาท ส่วนที่เล็กลงมาหรือผลไม่สวยจะมีราคาลดลงไปอีก โดยปีนี้คาดจะมีรายได้จากการขายองุ่นประมาณ 400,000 บาทเศษ และตั้งเป้าเก็บผลผลิตในรอบต่อไปในราวเดือนตุลาคมที่จะถึง ซึ่งสวนองุ่นของตนจะให้ผลผลิตได้มากถึง 8,000-9,000 พวง ซึ่งจะมีรายได้จากการเก็บผลผลิตขายกว่า 2 ล้านบาท โดยทั้งหมดเป็นราคาขายที่หน้าสวน

จุดเด่นอีกประการสำหรับพันธุ์องุ่นจากเกาหลีใต้ที่นำมาปลูกที่ จ.อุบลราชธานี คือให้ผลผลิตต่อรอบเร็วกว่าในประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ต้องใช้เวลาถึง 120 วันถึงจะเก็บผลผลิตได้ แต่ดินปลูกที่ประเทศไทยใช้เวลาเพียง 70-90 วัน ก็สามารถเก็บผลผลิตที่โตเต็มที่ออกขายได้แล้ว


“ขณะนี้กำลังคิดขยายต้นพันธุ์จำหน่ายให้แก่ผู้สนใจ โดยสามารถมาเรียนรู้วิธีการดูแล และการปลูกจากทางสวนได้ แต่ต้องเข้าใจว่าโรงเรือนใช้ปลูกอาจมีราคาสูงกว่าปกตินิดหน่อย เพราะวัสดุใช้ทำโรงเรือนนำเข้ามาจากต่างประเทศ เนื่องจากสเปกในประเทศไทยไม่มีขาย เช่นเสาใช้ทำโรงเรือนต้องการสูง 7 เมตร เพื่อนำมาตัดแบ่งครึ่งให้เหลือ 3.50 เมตร แต่ในประเทศมีเสาสูงสุดแค่ 6 เมตร จึงสั่งจากเกาหลีใต้ จะได้ตามสเปกมาครบทั้งหมด ไม่ยุ่งยากดัดแปลง” น.ส.เด่นนภากล่าว และว่า

รวมทั้งผ้ายางที่ใช้คลุมก็เป็นแบบสะท้อนความร้อน ไม่ได้รับแดดและความร้อนเข้ามาในโรงเรือนที่ใช้ปลูกทั้งหมด ทั้งยังติดตั้งพัดลมระบายอากาศในช่วงที่อากาศร้อนจัดหน้าร้อนด้วย เพราะประเทศไทยมีอากาศร้อนกว่าที่เกาหลีใต้มาก สำหรับความมั่นคงแข็งแรงของโรงเรือนไม่ต้องห่วง มีความคงทน สามารถรองรับลมพายุโนรูเมื่อปีที่ผ่านมาแล้ว


ทั้งนี้ การปลูกองุ่นแค่เพียงปีเดียวเก็บผลผลิตออกขายได้แล้ว ต้องใส่ใจเรื่องการเตรียมแปลงปลูก เพราะองุ่นจะเจริญเติบโตเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับการเตรียมดินเป็นสำคัญ และควรปลูกแบบอินทรีย์ใช้มูลสัตว์เป็นปุ๋ย จะให้ผลดีที่สุด ส่วนสรรพคุณองุ่นมีมากมาย แต่ที่เห็นๆ คือ เป็นยาสุขุม ออกฤทธิ์ต่อปอด ม้าม และไต บำรุงโลหิต

สำหรับผู้ต้องการเข้าเยี่ยมชม ถ่ายรูปกับสวนองุ่น หรือสั่งจององุ่นทั้งสองสายพันธุ์คือ ไชน์มัสแคต และพันธุ์มายฮาร์ต สามารถติดต่อได้ทั้งเฟซบุ๊กชื่อ บ้านสวนองุ่นฮัน ลี หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 06-3763-1565 ของคุณเด่นนภา


กำลังโหลดความคิดเห็น