น่าน - กรมสอบสวนคดีพิเศษสนธิกำลัง จนท.หลายหน่วยงานบุกตรวจโฮมสเตย์อดีต ส.ส.น่าน หลังชาวบ้านร้องเปลี่ยนเส้นทางน้ำ ขยายที่ทับลำน้ำว้า ปิดทางสาธารณะ จนชาวบ้าน 2 ตำบลเข้าออกแทบไม่ได้ เบื้องต้นพบที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ ไม่พบขออนุญาตสร้างโรงเรือน-ทำโรงแรม ใช้แรงงานต่างด้าว
วันนี้ (14 ธ.ค. 65) นายไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ มอบหมายให้ ร.ต.อ.ปิยะ รักสกุล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ บูรณาการร่วมกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐเขตพื้นที่ 5 (ป.ป.ท.เขต 5) สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดน่าน ฝ่ายปกครองอำเภอบ่อเกลือ สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 3 สาขาแพร่ สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 13 สำนักงานที่ดินจังหวัดน่าน เจ้าหน้าที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดน่าน (กอ.รมน.จว.น่าน) เจ้าหน้าที่สถานีตำรวจภูธรบ่อเกลือ สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค สาขาแพร่ เข้าตรวจสอบพื้นที่บ้านสว้าเหนือ หมู่ที่ 3 ต.ดงพญา อ.บ่อเกลือ จ.น่าน
หลังชาวบ้านร้องเรียนให้ตรวจสอบ “วิวสว้า โฮมสเตย์” ที่อดีตนักการเมืองน่านเข้าครอบครองพื้นที่ มีการปรับเปลี่ยนเส้นทางลำน้ำว้า ถมที่ดินริมน้ำ ขยายพื้นที่ทับลำน้ำว้า จนทำลายแหล่งพันธุ์ปลา ทำลายวิถีชีวิตดั้งเดิม อีกทั้งยังหวงกันพื้นที่ริมน้ำไว้เป็นของตนเอง และยังปิดทางเดินสาธารณะเข้าออกหมู่บ้าน ทำให้ชาวบ้านใน 2 ตำบล คือ ต.สว้าเหนือ และ ต.สว้าใต้ กว่า 160 หลังคาเรือนได้รับความเดือดร้อนไม่สามารถใช้ประโยชน์ในลำน้ำว้าได้ตามปกติ และสัญจรเข้าออกที่ดินทำกินซึ่งอยู่ถัดไปด้านเหนือได้ยากลำบาก
จากการตรวจสอบพบว่าพื้นที่บริเวณดังกล่าวไม่มีเอกสารสิทธิ และพบมีการแบ่งพื้นที่ให้เช่าสร้างที่พักไว้รองรับนักท่องเที่ยวจำนวนหลายหลัง มีการสร้างโรงเรือนที่พักส่วนตัว ที่พักคนงาน ใช้แรงงานต่างด้าว ทั้งยังขนหินจากแม่น้ำขึ้นมาสร้างเนินดินออกไปจากพื้นที่เดิม รวมทั้งมีการเปลี่ยนแปลงเส้นทางน้ำ เพื่อประโยชน์แก่ตนเองและก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนผู้ใช้น้ำเพื่อการเกษตรกรรม
และเจ้าของกิจการดังกล่าวมีพฤติกรรมคล้ายกับเป็นผู้มีอิทธิพล เจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่ไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายได้ ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่จังหวัดน่าน
ทั้งนี้ ขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบ อดีต ส.ส.น่าน 5 สมัยได้ปรากฎตัวและยืนยันว่าเป็นเจ้าของสถานที่ดังกล่าว และบริเวณโดยรอบ ซึ่งได้ซื้อที่ดินทั้งหมดมาจากชาวบ้าน แต่ไม่ระบุว่ามีเอกสารสิทธิหรือไม่ รวมทั้งได้ปฏิเสธว่าไม่ได้รุกล้ำลำน้ำว้า แต่ที่สภาพลำน้ำเป็นลักษณะนี้เกิดจากน้ำป่าที่ไหลหลากและซัดก้อนหินมาทับถม ก่อนประกาศจะฟ้องกลับชาวบ้านที่มายื่นหนังสือร้องเรียน และใช้มือถือถ่ายภาพชาวบ้านทุกคนที่มาให้ข้อมูล จนชาวบ้านหลายรายเกรงกลัวอิทธิพลพากันเดินหลบออกไป
ด้าน ร.ต.อ.ปิยะ รักสกุล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวหลังตรวจสอบว่าชาวบ้านในพื้นที่และผู้ครอบครองพื้นที่เดิม ได้เข้าให้ข้อมูลประกอบพยานหลักฐานยืนยันแนวเขตว่ามีการล่วงล้ำลำน้ำ ซึ่งการกระทำดังกล่าวอาจเข้าข่ายเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. 2456 และยังพบว่าที่ดินบริเวณดังกล่าวไม่มีเอกสารสิทธิ จึงอาจจะเป็นพื้นที่ป่าตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 อีกด้วย หากผู้ใดบุกรุกอาจจะเป็นความผิดฐานบุกรุกป่า
ขณะที่การก่อสร้างโรงเรือน และการประกอบกิจการโรงแรมไม่พบว่ามีการขออนุญาตตามกฎหมาย รวมไปถึงการนำแรงงานต่างด้าวเข้าทำงาน ซึ่งจะมีการตรวจสอบ และหากพบมีการกระทำผิด ไม่ว่าจะเป็นบุคคลใด ก็จะต้องถูกดำเนินคดี โดยทั้งหมดนี้คาดว่าไม่เกิน 3 เดือนจะดำเนินการแล้วเสร็จ และสามารถคืนลำน้ำว้าให้กลับสู่สภาพเดิม ชาวบ้านสามารถกลับมาใช้ประโยชน์ได้ตามปกติ
อย่างไรก็ตาม หลังยื่นหนังสือร้องเรียนชาวบ้านได้แจ้งว่าถูกเจ้าของโฮมสเตย์ขู่จะยิง ซึ่ง พ.ต.อ.สมชาย กาวิเนตร ผกก.สภ.บ่อเกลือ ได้นำชาวบ้านทั้งหมดเข้าลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานที่ สภ.บ่อเกลือ พร้อมกับส่งชุดสายตรวจเข้าตรวจตราความปลอดภัยในหมู่บ้าน เพื่อความมั่นใจในความปลอดภัยให้แก่ชาวบ้าน