กาญจนบุรี - นายกเล็ก ทต.ห้วยกระเจา เตรียมพัฒนาน้ำพุโซดาบาดาลเป็นจุดเช็กอิน หลังซบเซามานาน เหตุวิกฤตโควิด-19 ระบาด เผยอดีตราคาที่ดินโดนรอบพุ่งจริง แต่ติดปัญหาที่ดิน พ.ร.ก.2481 วอน ทบ.ยกเลิก
จากกรณีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล โดยสำนักทรัพยากรน้ำบาดาล เขต 2 (สุพรรณบุรี) ลงพื้นที่สำรวจเพื่อเจาะหาแหล่งน้ำบาดาล นำมาบรรเทาความเดือดร้อนจากภัยแล้งซ้ำซากให้แก่ประชาชนในพื้นที่ ต.ห้วยกระเจา อ.ห้วยกระเจา จ.กาญจนบุรี ตามโครงการศึกษา สำรวจและรูปแบบการพัฒนาน้ำบาดาลจากแหล่งกักเก็บในหินแข็งระดับลึกในพื้นที่ธรณีวิทยาโครงสร้างซับซ้อน
ในที่สุดสามารถเจาะบาดาลได้สำเร็จ โดยเจาะพบในพื้นที่หมู่ 12 บ้านสระตาโล ต.บ่อพลอย อ.บ่อพลอย เจาะได้ จำนวน 3 บ่อ บ่อแรกลึก 280 เมตร บ่อที่ 2 ลึก 224 เมตร และบ่อที่ 3 ลึก 303 เมตร ปริมาณน้ำที่พัฒนาได้ จำนวน 52 ลบ.ม./ชม. และที่หมู่ 19 บ้านทุ่งคูณ ต.ห้วยกระเจา อ.ห้วยกระเจาอีก จำนวน 2 บ่อ ปริมาณน้ำที่พัฒนาได้ 66 ลบ.ม./ชม.คิดปริมาตรรวม 1,700,000 กว่า ลบ.ม./ปี ประชากรจะได้รับประโยชน์ จำนวน 15 หมู่บ้าน 7,000 กว่าครัวเรือน พื้นที่เกษตร 6,000 ไร่
แต่ปรากฏว่า บ่อบาดาลที่ตั้งอยู่พื้นที่หมู่ 12 บ้านสระตาโล ต.บ่อพลอย บ่อ 2-3 รสชาติของน้ำพุที่พุ่งขึ้นมามีรสหวานและซ่าคล้ายโซดา ผลการตรวจสอบและวิเคราะห์น้ำบาดาลบ่อที่ 2-3 ที่พุขึ้นมามีแร่ไบคาร์บอเนตสูง 2,420 มิลลิกรัมต่อลิตร และ 1,870 มิลลิกรัมต่อลิตร ฟลูออไรด์สูงเล็กน้อย 1.4 มิลลิกรัมต่อลิตร และ 1.1 มิลลิกรัมต่อลิตร และมีเหล็กสูง 10 มิลลิกรัมต่อลิตร และ 28 มิลลิกรัมต่อลิตร ตามลำดับ
ซึ่งหลังจากที่สื่อมวลชนนำเสนอข่าวสร้างความฮือฮาให้ชาวจังหวัดกาญจนบุรี และทั่วประเทศเป็นอย่างมาก ประชาชนที่ทราบข่าวเดินทางมาท่องเที่ยวกันอย่างล้นหลาม โดยหลังจากโครงการดังกล่าวแล้วเสร็จ ได้มอบโครงการให้เทศบาลตำบลห้วยกระเจา เป็นผู้ดูแล ส่วน อบจ.มีแผนทุ่มงบประมาณร่วม 50 ล้านบาท เพื่อพัฒนาพุโซดาบาดาลให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุด วันนี้ (23 พ.ย.) นายอภิชาต สืบศักดิ์ นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลห้วยกระเจา พร้อมด้วยนายอารมณ์ วิทยายนต์ ประธานสภาเทศบาลตำบลห้วยกระเจ้า และนายสุเวทย์ สินสถาพรพงศ์ อายุ 65 ปี ชาวบ้านหมู่ 3 ต.ห้วยกระเจา อ.ห้วยกระเจา ได้เดินทางลงพื้นที่บ่อพุโซดาบางดาลอีกครั้งหนึ่ง โดยพบว่าพุโซดาบาดาลทั้ง 2 บ่อยังคงมีน้ำพวยพุ่งขึ้นมาสวยงามเช่นเดิม และยังมีประชาชนนำแกลลอนเดินทางมารับน้ำแร่โซดาที่จุดบริการน้ำแร่กระทรวงทรัพย์เป็นระยะๆ ส่วนบรรยากาศภาพรวมค่อนข้างเงียบเหงา แต่ยังมีชาวบ้านในพื้นที่มาตั้งร้านขายอาหารจานเดียวอยู่ตามปกติ
ทั้งนี้ นายอภิชาต สืบศักดิ์ นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลห้วยกระเจา เปิดเผยว่า หลังจากที่กรมทรัพยากรน้ำบาดาล กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ดำเนินโครงการน้ำบาดาลพระราชดำริแล้วเสร็จ ต่อมา ได้มอบให้เทศบาลตำบลห้วยกระเจา เป็นผู้ดูแล ซึ่งปัจจุบันชาวบ้านมีน้ำกินน้ำใช้อย่างพอเพียง
สำหรับพุโซดาที่พบครั้งแรกสร้างความฮือฮาให้ประชาชนเป็นอย่างมาก และที่สำคัญมีนักท่องเที่ยวจากทั่วประเทศเดินทางมาเยี่ยมชมพร้อมชิมน้ำพุโซดากันเป็นจำนวนมาก สำหรับน้ำพุโซดาเป็นน้ำแร่ที่มีคุณภาพมาที่สุดในระดับเอเชีย
ซึ่งทางกรมทรัพยากรน้ำบาดาลได้สร้างโรงกรองเอาไว้ให้ประชาชนได้นำไปดื่มฟรี แต่ด้วยวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เมื่อ 2 ปี ที่ผ่านมา ทำให้สภาวะเศรษฐกิจเริ่มซบเซาลง ส่งผลทำให้สถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้มีคนมาไม่มากนัก
แต่ทางเทศบาลตำบลห้วยกระเจาได้วางแนวทางเอาไว้ว่า จะมีการเปลี่ยนเว็บไซต์ใหม่ มีแอปพลิเคชันประชาสัมพันธ์เพื่อเพิ่มจุดเช็กอินขึ้น หากแล้วเสร็จประชาชนและนักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปดูข้อมูลได้ที่เว็บไซตฺของเทศบาล ซึ่งท่านจะทราบได้ทันทีว่าในเขตเทศบาลตำบลห้วยกระเจาของเรานั้นมีแหล่งท่องเที่ยวอยู่ที่จุดไหนบ้าง
ส่วนในอนาคต ทางเทศบาลจะเข้ามาดำเนินการนำน้ำพุโซดาไปตรวจ อย. หากผ่าน อย.ทางเทศบาลจำทำเป็นแพกเกจ เพื่อให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวมาซื้อไปดื่มหรือนำไปเป็นของฝากได้อย่างสบายใจ และยังสามารถสั่งทางออนไลน์ได้อีกด้วย ซึ่งทางเทศบาลจะได้ประสานไปยังหมู่บ้านต่างๆ ให้ร่วมกันจัดตั้งวิสาหกิจชุมชนขึ้นมาเพื่อรองรับการบริหารจัดการพื้นที่แห่งนี้ สำหรับวิสาหกิจชุมชนที่ตั้งขึ้นมาจะเป็นรูปแบบของการรองรับนักท่องเที่ยวในการจำหน่ายน้ำแร่โซดาที่มีคุณภาพ
โดยในช่วงแรกทางโยธาธิการและผังเมืองได้ลงพื้นที่มาสำรวจออกแบบ และประสานกับทาง อบจ.กาญจนบุรี ในการนำงบประมาณลงมาเพื่อปรับปรุงภูมิทัศโดยรอบพุโซดาบาดาลให้สวยงาม เอาไว้เป็นจุดเช็กอินในการรองรับนักท่องเที่ยว แต่ติดปัญหาในหลายอย่าง เพราะพื้นที่บริเวณนี้เป็นพื้นที่พระราชกฤษฎีกา 2481 อยู่ในความดูแลของทหาร แต่พื้นที่แห่งนี้ชาวบ้านได้ครอบครองกันมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายายแล้ว ซึ่งนายสุเวทย์ สินสถาพรพงศ์ หรือลุงเกี๊ย เจ้าของที่ดินได้มอบพื้นที่ให้กรมทรัพยากรน้ำบาดาลเจาะหาน้ำเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อชาวบ้านในพื้นที่ ซึ่งต้องขอชื่นชมและขอบคุณคุณลุงที่เสียสละที่ดินให้
นายอภิชาต สืบศักดิ์ เปิดเผยว่า ส่วนกรณีมีข่าวว่า ตั้งแต่กรมทรัพยากรน้ำบาดาลค้นพบแร่โซดาบาดาลที่มีคุณภาพ ทำให้ราคาที่ดินนั้นเพิ่มสูงขึ้นเป็นเท่าตัวจากไร่ละ 1 แสน เป็น 2 แสนบาทนั้น เรื่องนี้ยอมรับว่าเป็นเรื่องจริงแต่ส่วนใหญ่เป็นนายทุนที่มาจากประเทศจีนและยุโรป เพราะนายทุนเหล่านี้ทราบว่าพื้นที่ดังกล่าวพบแร่โซดาที่มีคุณภาพ จึงต้องการซื้อที่ดินเพื่อนำไปสร้างโรงงานผลิตน้ำแร่แล้วส่งไปจำหน่ายที่ประเทศของตนเอง
แต่หลังจากที่กรมทรัพยากรน้ำบาดาลประกาศให้ทราบว่า ที่ดินเป็นพื้นที่โครงการศึกษา สำรวจและรูปแบบการพัฒนาน้ำบาดาลจากแหล่งกักเก็บในหินแข็งระดับลึกในพื้นที่ธรณีวิทยาโครงสร้างซับซ้อน และเป็นพื้นที่พระราชกฤษฎีกา 2481 จึงไม่สามารถให้เอกชนเข้ามาดำเนินการซื้อที่เพื่อขุดเจาะนำไปผลิตน้ำแร่โซดาแล้วส่งไปจำหน่ายเองได้ กระแสราคาที่ดินที่พุ่งสูงขึ้นจึงเงียบไป
ซึ่งนายทุนที่ต้องการซื้อที่ดินถึงแม้จะซื้อในราคาไร่ละ 5 แสน หรือไร่ละ 1 ล้านบาทก็ตาม เรื่องราคาเขาไม่ค่อยสนใจว่าจะแพงเท่าไหร่ แต่เขามองว่า น้ำแร่โซดาที่ผลิตได้จะเป็นการต่อยอดและเกิดประโยชน์กับนายทุนมากกว่าที่จะมาสนใจเรื่องของราคาที่ดิน ที่ผ่านมามีนายทุนหลายรายมีทั้งจากประเทศจีนและยุโรปมาพบตน และนายทุนเหล่านี้ได้นำน้ำแร่ไปตรวจคุณภาพแล้วพบว่าน้ำแร่แห่งนี้มีคุณภาพจริง แต่มาติดปัญหาเรื่องของที่ดินนายทุนเหล่านั้นจึงเงียบหายไป
ดังนั้น จึงขอฝากไปถึงรัฐบาลให้มองเห็นว่าพื้นที่พระราชกฤษฎีกา 2481 ปัจจุบันพื้นที่เทศบาลตำบลห้วยกระเจา มีแต่ชาวบ้านเป็นผู้ครอบครอง ซึ่งมีการจับจองกันมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายาย และไม่มีพื้นที่ที่เป็นป่าอยู่อีกแล้ว อยากให้รัฐบาลฝากไปถึงกองทัพบกช่วยผ่อนปรนในเรื่องนี้ คือขอให้คืนพื้นที่ที่ชาวบ้านทำกินกันมาหลายชั่วอายุคน ส่วนพื้นที่ไหนที่เป็นป่าและภูเขาให้กองทัพบกดูแลในการอนุรักษ์ผืนป่าต่อไปได้
ต้องขอเรียนว่าชาวบ้านในเทศบาลตำบลห้วยกระเจาเป็นคนขยันทำมาหากิน การที่ไม่มีพระราชกฤษฎีกา 2481 ตนมองว่าหากมีนายทุนจากต่างชาติมาซื้อที่สร้างโรงงานผลิตน้ำแร่ก็เป็นเรื่องดี แต่ตนให้ความสำคัญกับชาวบ้านมากกว่า เพราะชาวบ้านจะสามารถรวมตัวกันตั้งวิสาหกิจชุมชนขึ้นมาแล้วผลิตน้ำแร่ไปจำหน่ายเองได้โดยไม่ต้องพึ่งนายทุน หากสำเร็จเม็ดเงินจะตกอยู่กับประชาชนชาวตำบลห้วยกระเจา