ปราจีนบุรี - เจ้าบ่าวเทงานแต่งสาวปราจีนฯ โผล่รับทราบข้อกล่าวหาฉ้อโกง แสดงตนเป็นคนอื่น แต่งกายคล้ายเจ้าหน้าที่ หลังเบี้ยวนัดไกล่เกลี่ยหนี้สินรอบแรก ล่าสุดเจอเจ้าสาวเรียกค่าเสียหายเพิ่มเป็น 6 แสนบาท พร้อมยอมรับข่าวเบี้ยวแต่งที่โคราชเป็นเรื่องจริง
จากกรณีเจ้าบ่าววัย 43 ปี หลอกสาวเมืองปราจีนบุรี ให้จัดงานแต่งงานโดยหลอกว่าตนเองเป็นทหารยศ จ.ส.อ. แต่สุดท้ายกลับเบี้ยวงานแต่งจนทำให้เจ้าสาวต้องยืนรับแขกเพียงคนเดียว และยังต้องแบกรับหนี้สินจากการจัดงานมากถึง 300,000 บาท จนต้องเข้าแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ
และมีการนัดหมายเคลียร์ค่าเสียหายที่ สภ.นาดี จ.ปราจีนบุรี เมื่อวันที่ 11 พ.ค.ที่ผ่านมา แต่สุดท้ายเจ้าบ่าวจอมเทกลับเบี้ยวนัดจนทำให้เจ้าสาวต้องแจ้งความเอาผิดในข้อหาฉ้อโกง และอ้างตัวเป็นคนอื่นนั้น
ล่าสุด ช่วงเย็นวานนี้ (17 พ.ค.) นายเอก สุวรรณหงส์ เจ้าบ่าวจอมเทได้เข้าพบ พ.ต.ท.ประสิทธิ์ ภัคดี สารวัตรสอบสวน สภ.นาดี เพื่อรับทราบข้อกล่าว “ฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น และแต่งกายคล้ายเจ้าหน้าที่เพื่อหลอกให้คนอื่นหลงเชื่อ” ซึ่งถือเป็นความผิดตามมาตรา 146 โทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 2,000 บาท
พ.ต.ท.ประสิทธิ์ กล่าวว่า คดีดังกล่าวผู้ถูกกล่าวหาเดินทางมาพบพนักงานสอบสวนด้วยตนเอง และมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง รวมทั้งไม่มีพฤติกรรมหลบหนีจึงไม่จำเป็นต้องประกันตัวแต่อย่างใด ทั้งนี้ผู้ถูกกล่าวหาได้ยอมรับผิดทั้งหมดและยินยอมที่จะชดใช้ค่าเสียหาย
ขณะที่ฝ่ายเจ้าสาววัย 40 ปี ได้เรียกร้องค่าใช้จ่ายจากการจัดงานแต่ง จำนวน 305,000 บาท รวมทั้งค่าเสียหายที่ทำให้อับอายเสียหน้าอีก 300,000 บาท รวมเป็นเงิน 605,000 บาท
โดยฝ่ายชายยินดีที่จะชดใช้แต่ขอผ่อนจ่ายเดือนละ 12,000 บาท จนกว่าจะหมด เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงลงบันทึกไว้เป็นหลักฐาน
ด้าน นายเอก เจ้าบ่าวเทงานแต่งบอกว่าตนเองยอมรับผิดและยอมชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้น และยังอ้างว่ายังรักเจ้าสาวคนดังกล่าวอยู่พร้อมขอโอกาสกลับมาคืนดี
“ส่วนค่าเสียหายที่ทางหลานชายของฝ่ายเจ้าสาวซึ่งเป็นตัวแทนในวันนี้ได้เรียกร้องมานั้นยินดีที่จะชดใช้ทุกบาททุกสตางค์ แต่ขอผ่อนชำระ”
นายเอก ยังยอมรับเกี่ยวกับกระแสข่าวที่ว่าตนเองได้มีพฤติกรรมในลักษณะเดียวกันกับเจ้าสาวอีกรายที่เมืองโคราชว่า เป็นเรื่องจริงแต่ข้อเท็จจริงไม่ใช่อย่างที่เป็นข่าวทั้งหมด ส่วนกรณีทีเกิดขึ้นใน จ.ปราจีนบุรี เป็นเพราะหาเงินไม่ทัน
ส่วนกรณีที่เบี้ยวนัดเจรจาไกล่เกลี่ยเมื่อวันที่ 11 พ.ค.ที่ผ่านมา อ้างว่าตนเองพักอาศัยอยู่กับเพื่อนและไม่มีเงินเดินทาง ประกอบกับไม่สามารถทิ้งเพื่อนให้อยู่คนเดียว และการเดินทางมายัง จ.ปราจีนบุรี ในครั้งนี้เพื่อยืนยันว่าตนเองไม่หนีและพร้อมจะรับผิดชอบในสิ่งที่ทำไว้