xs
xsm
sm
md
lg

นายกสมาคมไก่ชี้ขึ้นค่าแรงทั่วประเทศยังไม่เหมาะเหตุวิกฤตรอบด้านทำอ่วมถ้วนหน้า แนะเพิ่มโอทีดีที่สุด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ศูนย์ข่าวศรีราชา - นายกสมาคมส่งเสริมการเลี้ยงไก่ ชี้ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศช่วงนี้ทำไม่ได้ ชี้วิกฤตโควิด-19 และการสู้รบระหว่างรัสเซียและยูเครน ทำผู้ประกอบการอ่วมถ้วนหน้า แนะทางออกดีสุดคือเพิ่มโอที วินวินทั้งนายจ้าง-ลูกจ้าง จี้รัฐเปิดทางผู้ประกอบการนำเข้าอาหารสัตว์เสรี

จากกรณีที่เครือข่ายแรงงานได้เรียกร้องให้รัฐบาลประกาศปรับค่าจ้างขั้นต่ำเท่ากันทั้งประเทศในอัตรา 492 บาท เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ และค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น

วันนี้ (9 พ.ค.) ดร.ฉวีวรรณ คำพา นายกสมาคมส่งเสริมการเลี้ยงไก่แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และประธานกรรมการบริหาร บริษัทในเครือฉวีวรรณ ผู้ส่งออกเนื้อไก่ไทยรายใหญ่ 1 ใน 5 ของประเทศ ได้ออกมาแสดงความเห็นว่า แม้ผู้ประกอบการจะเห็นใจลูกจ้างจากผลกระทบราคาสินค้าที่พุ่งสูงขึ้นถ้วนหน้า

แต่หากดูในแง่ของเวลาแล้วเชื่อว่ายังไม่เหมาะสม เนื่องจากที่ผ่านมา ผู้ประกอบการต้องแบกรับภาระที่หนักมากเช่นกัน ทั้งในเรื่องวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตซึ่งปรับราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนราคาน้ำมันที่ถือเป็นปัจจัยสำคัญในภาคการขนส่ง เช่นเดียวกับส่วนประกอบอื่นๆ ที่ปรับขึ้นถ้วนหน้า


“การระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจต่างๆ อย่างรุนแรง ขณะที่ภาคส่งออกยังต้องเจอปัญหาตู้สินค้าและเรือขนส่งสินค้าที่ดีเลย์อยู่ตลอดเวลา แต่หากถามว่าจำเป็นต้องขึ้นค่าแรงให้ลูกจ้างหรือไม่ต้องตอบว่าจำเป็นมาก เพราะตอนนี้ราคาของกินของใช้ปรับขึ้นหมดแล้ว เพียงแต่เราขอเวลาปรับตัวก่อนสักระยะเพื่อให้ทั้งภาคธุรกิจ และแรงงานรอดด้วยกันได้ แต่หากให้ปรับขึ้นค่าจ้างตอนนี้กลัวว่าสุดท้ายแล้วจะไปได้ไม่ตลอดรอดฝั่ง”

ดร.ฉวีวรรณ ยังได้เสนอทางออกในการปรับขึ้นค่าจ้างแรงว่า ทั้งลูกจ้าง และแรงงานต้องเข้าใจตรงกันว่าการขึ้นค่าแรงเป็น 492 บาทในขณะนี้เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก แต่นายจ้างสามารถหาทางออกได้ด้วยการเพิ่มเวลาทำโอทีเพื่อให้ลูกจ้างได้มีรายได้เพิ่มขึ้น และนายจ้างเองแม้ต้องจ่ายมากขึ้นแต่จะได้สินค้ามากด้วยเช่นกัน

“ขณะนี้ในส่วนของโรงงานแปรรูปเนื้อไก่เองต้องหันมาใช้วิธีจ้างเหมาเพื่อให้ลูกจ้างได้ค่าจ้างมากขึ้น และผู้ประกอบการได้สินค้ามากขึ้นซึ่งวิธีนี้ทำให้ลูกจ้างสามารถได้ค่าจ้างถึงหลักพันบาทต่อวันได้”


สิ่งที่อยากแนะนำรัฐบาลคือต้องเร่งแก้ไขปัญหาเรื่องค่าครองชีพ รวมทั้งการเปิดทางให้ผู้ประกอบการในภาคเกษตรปศุสัตว์ได้นำเข้าวัตถุดิบอย่างเสรี เพราะผู้ประกอบการย่อมมีความรู้ความสามารถในการสรรหาแหล่งวัตถุดิบราคาถูกได้ดีกว่า และสามารถผลิตสินค้าป้อนตลาดได้ตรงกับความต้องการของประชาชน

“การถูกจำกัดให้หาซื้อวัตถุดิบเฉพาะในประเทศไทย หรือถูกจำกัดปริมาณคำสั่งซื้อจากต่างประเทศทำให้ผู้ประกอบการไม่ได้ใช้ความรู้ความสามารถที่มีในการดำเนินธุรกิจ อีกทั้งรัฐบาลไม่มีความรู้เรื่องการนำเข้าวัตถุดิบดีเท่ากับผู้ที่เขาทำธุรกิจมานาน ดังนั้นการเปิดเสรีย่อมจะแก้ไขปัญหาต้นทุนการผลิตได้ดีกว่า”

ดร.ฉวีวรรณ ยังเผยอีกว่า ที่ผ่านมาสมาคมส่งเสริมการเลี้ยงไก่ได้ตรึงราคาขายภายในประเทศตามที่รัฐบาลกำหนด แต่ขณะนี้เริ่มแบกรับไม่ไหวและได้พยายามที่จะขอปรับราคาขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับราคาข้าวโพดซึ่งถือเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตอาหารสัตว์ที่ขณะนี้พุ่งสูงถึง 13 บาทต่อกิโลกรัม

ส่วนกากถั่วที่ขยับขึ้นถึง 22.80 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งหากรัฐบาลยังไม่อนุญาตให้ปรับราคาขายถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่เป็นธรรม


“แม้สถานการณ์การส่งออกเนื้อไก่ไทยไปต่างประเทศจะยังดีอยู่จากความต้องการที่ยังมีอยู่สูงทั้งในยุโรป ญี่ปุ่น และจีน แต่เนื่องจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นทำให้เราขอปรับราคาขายกับคู่ค้า แต่ทำได้เพียงไม่กี่ครั้ง เพราะหากปรับสูงเกินไปคู่ค้าจะหันไปซื้อสินค้าจากประเทศอื่นแทน”

ดร.ฉวีวรรณ กล่าวทิ้งท้ายว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้รัฐบาลจะต้องเร่งหาทางออกให้เร็วที่สุด โดยเฉพาะการวางตัวในสถานการณ์สู้รบระหว่างรัสเซียและยูเครน เพราะหากรัฐบาลกำหนดทิศทางไม่ถูกต้องอาจส่งผลกระทบต่อประเทศไทยในหลายส่วน

ที่สำคัญทั้งรัสเซียและยูเครนไม่เคยมีปัญหากับไทย ดังนั้น การวางตัวให้เป็นกลางจะสามารถนำพาประเทศให้รอดปลอดภัยได้ในสถานการณ์ที่เป็นอยู่




กำลังโหลดความคิดเห็น