บุรีรัมย์- ตำรวจชุดไทแคดร่วมหน่วยงานเกี่ยวข้อง รุดช่วยเหลือเด็ก ม.3 ถูกเสี่ยเจ้าของรีสอร์ตบังคับขายบริการขัดดอก ล่าสุดเข้าแจ้งความแล้ว เหยื่อเผยเสี่ยเป็นคนมีอิทธิพล ผวาตัวเองและปู่ย่าไม่ปลอดภัย วอนจนท.ช่วยดูแล พร้อมแฉถูกบังคับรับแขกได้เงินครั้งละ 1,500 บาท โดนหักเหลือแค่ 200 บาท ส่วนหนี้สินกู้ยืมไม่ยอมลด
วันนี้ (25 เม.ย.) ความคืบหน้ากรณีที่นางน้อย (นามสมมติ) อายุ 44 ปี ได้พา น.ส.เอ (นามสมมติ) อายุ 15 ปี ลูกบุญธรรม ซึ่งปัจจุบันเรียนอยู่ชั้น ม.3 ใน อ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์ ออกมาร้องขอความช่วยเหลือ โดยอ้างว่าน้อง ม.3 ถูกเสี่ยเจ้าของรีสอร์ตแห่งหนึ่งใน อ.ละหานทราย บังคับให้ขายบริการสนองตัณหาแขกที่เข้ามาพักในรีสอร์ตของตัวเอง เพื่อขัดดอกหลังจากที่น้องไปยืมเงินเสี่ย 6,300 บาท เพื่อนำไปรักษาย่าวัย 70 ปีที่ป่วยต้องผ่าตัดด่วน พอเด็กไม่ยอมไปรับแขกตามที่สั่งขู่จะแจ้งความที่ยืมเงินแล้วไม่จ่าย ทั้งจะประจานให้อับอาย น้องผู้เสียหายจึงจำใจต้องทำ โดยไปรับแขกตามที่เสี่ยเจ้าของรีสอร์ตสั่งทั้งหมด 4 ครั้ง จนเด็กทนไม่ไหวแล้วอยากจะหยุดแต่ก็ถูกขู่ไม่มีใครช่วยได้ เพราะเขาอ้างรู้จักตำรวจทั้งโรงพัก นั้น
ล่าสุดวันนี้ ชุดปฏิบัติการปราบปรามการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางอินเทอร์เน็ต (ไทแคค) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) พร้อมตำรวจจากกองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ (ปคม.) , เจ้าหน้าที่พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จ.บุรีรัมย์ , บ้านพักเด็กและครอบครัวจ.บุรีรัมย์ และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ละหานทราย ได้ลงพื้นที่บูรณาการวางแผนช่วยเหลือเด็กนักเรียนชั้น ม.3 ที่ถูกเสี่ยเจ้าของรีสอร์ตบังคับขายบริการเพื่อขัดดอกที่เด็กขอยืมเงิน 6,300 บาท เพื่อไปรักษาย่าป่วย
ทั้งนี้ เมื่อคืนที่ผ่านมาผู้ปกครองได้พาน้องผู้เสียหายเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับ ร.ต.อ.อนุสรณ์ ศรีพรม รองสารวัตร (สอบสวน) สภ.ละหานทราย แล้ว ซึ่งทั้งผู้ปกครองและเด็กก็ยังรู้สึกกังวลถึงความไม่ปลอดภัย เพราะเสี่ยเจ้าของรีสอร์ตเป็นคนมีอิทธิพลในพื้นที่ ทั้งอ้างว่ารู้จักตำรวจด้วย ถึงขั้นไม่กล้าอยู่ที่บ้านต้องไปอาศัยอยู่ข้างนอกชั่วคราว
หลังจากผู้เสียหายเข้าแจ้งความร้องทุกข์ แล้วทางพนักงานสอบสวนจะได้ประสานทีมสหวิชาชีพนัดสอบปากคำเด็กผู้เสียหายอีกครั้ง พร้อมทั้งจะได้พาผู้เสียหายไปชี้จุดเกิดเหตุเพื่อประกอบสำนวนคดี
จากนั้นจะได้รวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อออกหมายจับผู้กระทำผิดตามขั้นตอน ซึ่งหากเจ้าของรีสอร์ตกระทำผิดจริงตามที่ผู้เสียหายให้ข้อมูล จะเข้าข่ายความผิด "ฐานกระทำอนาจาร พยายามข่มขืนกระทำชำเรา และเป็นธุระจัดหา”
ขณะที่ น.ส.เอ (นามสมมติ) ผู้เสียหาย บอกว่า หลังจากแจ้งความร้องทุกข์แล้ว เป็นห่วงเรื่องปลอดภัยทั้งของตัวเอง และปู่กับย่า เพราะเสี่ยรู้จักบ้านของตัวเอง จึงกลัวว่าจะส่งคนไปทำอะไรปู่กับย่า อยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยดูแลความปลอดภัยให้ที่บ้านด้วย น้องยังบอกทั้งน้ำตาด้วยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้น้องกลัวและรู้สึกอายเพราะยังต้องเรียนหนังสือต่อ จึงอยากให้หน่วยงานเข้ามาช่วยเหลือให้หลุดพ้นจากสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอ และอยากให้เจ้าหน้าที่ดำเนินคดีกับเสี่ยตามกฎหมายให้ถึงที่สุด
น้องผู้เสียหายยังบอกถึงพฤติกรรมของเสี่ยด้วยว่า ทุกครั้งที่บังคับให้รับแขกจะยึดโทรศัพท์เอาไว้ ไม่ให้เอาเข้าไปในห้องด้วย และทุกครั้งที่เธอต้องจำใจรับแขกจะร้องไห้ทุกครั้ง ส่วนเงินที่แขกจ่ายให้ครั้งละ 1,500 บาท เสี่ยจะหักค่าห้อง 300 บาท หักค่าเปอร์เซ็นต์อีก 1,000 บาท เหลือ 200 บาท ให้เธอ แต่ถึงแม้เธอถูกบังคับรับแขกไปถึง 4 ครั้ง หนี้ที่เธอยืมไปรักษาย่าป่วยยังเหลือ 6,300 เท่าเดิม
ด้าน นายเอ็ม (นามสมมติ) ญาติของแม่บุญธรรม ให้ข้อมูลว่าครั้งล่าสุดที่แม่บุญธรรมเริ่มเห็นว่าน้องเอ มีอาการตาแดงเหมือนคนร้องไห้ และเหงาซึมผิดปกติ วันที่น้องขออนุญาตไปธุระข้างนอกตอนกลางคืนประมาณ 2 – 3 ทุ่มแต่จำวันที่ไม่ได้ ทางแม่บุญธรรมก็บอกให้ลองขับรถตามไปดูว่าน้องมีปัญหาอะไรหรือไม่ เพราะดูท่าทางผิดปกติ พอขับรถตามไปก็พบว่าน้องได้ขับ จยย.เลี้ยวเข้ารีสอร์ตแห่งหนึ่ง พอน้องกลับมาจึงถามว่าไปทำอะไรมากระทั่งน้องยอมเล่าทุกอย่างให้ฟัง สงสารน้องที่ต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ อยากให้ดำเนินคดีกับคนที่ทำกับน้องตามกฎหมาย