ตราด - เดือดร้อนเป็นแถว! เจ้าอาวาสวัดคีรีวิหาร พร้อม ผอ.โรงเรียนวัดคีรีวิหาร และเจ้าของโรงโม่หินใน จ.ตราด ปฏิเสธไม่มีส่วนรู้เห็นการยักยอกทรัพย์ศิษย์คนสนิทสมเด็จพระวันรัต โดยเจ้าของโรงโม่ซึ่งบริจาคที่ดินสร้างวัด พร้อมให้กองปราบ เข้าตรวจสอบ
จากกรณีที่มีการร้องทุกข์กล่าวโทษลูกศิษย์คนสนิทยักยอกเงินของสมเด็จพระวันรัต ด้วยการปลอมแปลมเอกสารสิทธิเพื่อลักเงินจากบัญชีเงินฝาก วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นเงินประมาณ 200 ล้านบาท หลังสมเด็จพระวันรัต อดีตเจ้าอาวาสวัดบวรฯ มรณภาพเมื่อวันที่ 15 มี.ค.2565 ที่ผ่านมา
โดยตำรวจกองปราบได้จัดทีมสืบสวนสอบสวนจนพบว่า ในช่วงเวลาเดียวกันผู้ต้องหายังได้กระทำการในลักษณะเดียวกันกับวัดสาขาในพื้นที่ จ.ตราด อีก 2 วัด คือ วัดรัตนวราราม และโรงเรียนวัดคีรีวิหาร ซึ่งในเบื้องต้นพบเป็นเงินงบประมาณจัดสร้างวัดรัตนวราราม จำนวนกว่า 80 ล้านบาท และงบจัดสร้างโรงเรียนวัดคีรีวิหาร อีกกว่า 10 ล้านบาทนั้น
วันนี้ (5 เม.ย.) ผู้สื่อข่าวได้เดินทางลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และได้รับการเปิดเผยจากพระโสภณธรรมธาดา (หัน คุณวตฺโต) เจ้าอาวาสวัดคีรีวิหาร ว่า ไม่ทราบเรื่องการทุจริตที่เกิดขึ้น พร้อมบอกว่า สมเด็จพระวันรัต เกิดที่ ต.ชำราก และบวชเรียนที่วัดแห่งนี้ ก่อนจะไปศึกษาธรรมต่อที่วัดบวรนิเวศวิหาร
กระทั่งมีตำแหน่งทางสงฆ์ ในปี 2523 จึงได้กลับมาพัฒนาวัดคีรีวิหาร และจัดให้มีการทำบุญทอดกฐินเพื่อหารายได้สร้างกุฏิ บูรณะวัดในทุกปี ก่อนจะสร้างที่พักของสมเด็จวันรัต สำหรับจำวัดเมื่อเดินทางมา จ.ตราด พร้อมยืนยันว่าทางวัดไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาการยักยอกทรัพย์ของลูกศิษย์คนสนิทเพื่อนำมาพัฒนาวัด และโรงเรียนตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด
“อาตมาไม่ทราบเรื่องเงินและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่สิ่งดีงามที่รับรู้คือ สมเด็จพระวันรัต เป็นผู้ที่ไม่ทิ้งถิ่นและมีความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ ส่วนสถานที่ก่อสร้างโรงเรียน ทางวัดเป็นเพียงผู้จัดหาให้เท่านั้น” เจ้าอาวาสวัดคีรีวิหาร กล่าว
เช่นเดียวกับบ น.ส.ธิดา เมฆวะทัต ผู้อำนวยการโรงเรียนคีรีวิหาร (สมเด็จวันรัตอุปถัมป์) เผยว่า แม้ตนเองจะเพิ่งเข้ามาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนได้เพียง 3 ปี แต่ทราบว่าสมเด็จพระวันรัต มีดำริในการก่อสร้างโรงเรียนเพื่อหวังพัฒนาโรงเรียนให้มีมาตรฐานการเรียนการสอนเท่าเทียมกับโรงเรียนในตัวจังหวัด
และเพื่อให้ลูกหลานชาว ต.ชำราก ไม่ต้องเดินทางไปไกล ซึ่งการก่อสร้างทุกอาคารได้รับงบประมาณจากสมเด็จพระวันรัต โดยไม่ผ่านบัญชีของโรงเรียน ขณะที่งบประมาณของโรงเรียนจะได้เป็นค่าหัวจากจำนวนนักเรียน
“ส่วนที่มีการก่อสร้างอาคาร หรืออุปกรณ์เครื่องมือที่ทันสมัยนั้น ได้รับงบประมาณก่อสร้างจากเงินของสมเด็จพระวันรัต ทั้งหมดซึ่งเท่าที่รับทราบคือ ได้มีการจัดสรรเงินเพื่อดำเนินการก่อสร้างไว้แล้ว และจะมีคนใกล้ชิดเป็นผู้ดำเนินการทั้งหมด”
น.ส.ธิดา ยังเผยอีกว่า ก่อนที่สมเด็จพระวันรัต จะมรณภาพยังให้ความมั่นใจกับทางโรงเรียนว่า อาคารทั้งหมดจะก่อสร้างแล้วเสร็จตามวัตถุประสงค์เนื่องจากได้เตรียมงบประมาณไว้หมดแล้ว ขณะที่การดำเนินต่อจากนี้ตนเองจำทำหน้าที่ดูแลโรงเรียนให้ดีที่สุดเพื่อให้สมกับวัตถุประสงค์ที่สมเด็จพระวันรัต ดำริไว้
เช่นเดียวกับ นายสุรศักดิ์ อิงประสาร เจ้าของโรงโม่เพชรสยามศิลาตราด ผู้บริจาคที่ดิน จำนวน 30 ไร่ เพื่อก่อสร้างวัดรัตนวราราม เผยว่า หลังเริ่มการก่อสร้างวัด สมเด็จพระวันรัต ได้มอบหมายให้ลูกศิษย์คนสนิทชื่อ “เนย” และ “มงคล” เข้ามาดูแลและโอนเงินค่าก่อสร้างเข้าบัญชีโรงโม่เพชรสยามศิลาตราด ซึ่งการเบิกจ่ายจะต้องมีบุคคลรับรองรวม 3 คน
โดยค่าดำเนินก่อสร้างตลอดระยะเวล 5-6 ปี มีเงินโอนผ่านเข้าบัญชีบริษัทฯ จำนวน 134 ล้านบาท และก่อนที่สมเด็จพระวันรัต จะมรณภาพยังมีเงินโอนเข้ามาอีก 19 ล้านบาทเพื่อให้บริษัทดำเนินก่อสร้างในส่วนที่เหลืออีก 10% ให้แล้วเสร็จ
“ผมขอยืนยันว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเบิกจ่ายเงินใดๆ และไม่มีส่วนร่วมการยักยอกเงินที่เกิดขึ้น เพราะการเบิกเงินค่าก่อสร้างจะมีผู้รับรู้ 3 คน และการเบิกจ่ายได้จะต้องใช้บุคคลรับรอง 2 ใน 3 และสามารถตรวจสอบได้ทั้งหมด ซึ่งเหตุการณ์ยักยอกทรัพย์ที่เกิดขึ้นทำให้ลูกศิษย์ทุกคนเสียใจ แต่จะดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จตามเจตจำนงของสมเด็จพ่อ”
นายสรุศักดิ์ ยังเผยอีกว่า ในวันพรุ่งนี้ (6 เม.ย.) ผู้บังคับการกองปราบปราม จะเดินทางลงพื้นที่โรงโม่หินเพชรสยามศิลาตราด เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งตนเองพร้อมที่จะมอบหลักฐานเรื่องการก่อสร้างวัดทั้งหมดให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ