ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - “มทร.อีสาน” ลงโทษ “ให้ออก” นศ.รุ่นพี่โหด 15 คนผิดระเบียบฝ่าฝืนจัดรับน้องเป็นเหตุให้บาดเจ็บและเสียชีวิต พร้อมลงโทษรุ่นพี่ให้ผลการสอบเป็น “โมฆะ” 10 คน และตัดคะแนนความประพฤติ 10 คะแนนอีก 5 คน ส่วนรุ่นน้อง 37 คนโดนด้วยถูกตัด10 คะแนน ฐานสนับสนุนให้เกิดกิจกรรม เผยอุทธรณ์คำสั่งได้ใน 15 วัน
วันนี้ (26 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีรุ่นพี่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน (มทร.อีสาน) จัดกิจกรรมรับน้องนอกสถานที่และทำร้ายร่างกายรุ่นน้อง เป็นเหตุให้ นายพัสยศ ชลภักดี หรือ “น้องเปรม” อายุ 19 ปี นักศึกษา ปวส. ชั้นปีที่ 1 สาขาช่างกลโรงงาน สาขาวิทยาลัยนวัตกรรมอาชีพ เสียชีวิตกลางไร่อ้อยบ้านหนองระเวียง ต.หนองระเวียง อ.เมือง จ.นครราชสีมา เหตุเกิดคืนวันที่ 13 มี.ค.ที่ผ่านมา และผลชันสูตรศพระบุว่าสาเหตุการเสียชีวิตจากหัวใจวายเฉียบพลันจากการกระทบกระแทกบริเวณทรวงอก ตามที่นำเสนอข่าวมาอย่างต่อเนื่องนั้น
ล่าสุดวันนี้ รศ.ดร.โฆษิต ศรีภูธร อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน (มทร.อีสาน) นครราชสีมา เปิดเผยว่า ได้ลงนามในคำสั่ง มทร.อีสาน ที่ 0421/2565 เรื่อง ลงโทษวินัยนักศึกษา ตามที่ นักศึกษา ปวส. โปรแกรมวิชาช่างกลโรงงาน วิทยาลัยนวัตกรรมวิชาชีพ ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมต้อนรับน้องใหม่และประชุมเชียร์อันเป็นกิจกรรมไม่พึงประสงค์
จากการสอบสวนของคณะกรรมการปกครอง พบมีนักศึกษาชั้นปีที่ 1 และชั้นปีที่ 2 เข้าร่วมกิจกรรม 67 คน โดยรุ่นพี่ปี 2 สั่งให้รุ่นน้องปี 1 ถอดเสื้อผ้า อีกทั้งยังสลับสับเปลี่ยนกันสั่งการให้ปี 1 หมอบ คลาน ใช้ศีรษะปักพื้น ชกต่อย และใช้เท้าถีบยันนักศึกษาปี 1 จนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต เป็นความผิดตามระเบียบว่าด้วยการควบคุมความประพฤติของนักศึกษา และเป็นการฝ่าฝืนประกาศมหาวิทยาลัยฯ เรื่องการงดจัดกิจกรรมต้อนรับน้องใหม่และประชุมเชียร์
จึงออกคำสั่งมหาวิทยาลัยฯ เรื่อง การลงโทษวินัยนักศึกษา ดังนี้ นักศึกษารุ่นพี่ ปวส. ปี 2 จำนวน 15 ราย ผู้ร่วมการฝ่าฝืน วางแผน สั่งการ ควบคุมการดำเนินกิจกรรม ทำร้ายร่างกายผู้อื่นโดยการใช้ไม้ฟาด ชกต่อย และใช้เท้าถีบยัน เป็นเหตุทำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต มีความผิดตามระเบียบ มีโทษให้ออก
รวมทั้งให้ลงโทษนักศึกษารุ่นพี่ ปี 2 อีก 10 ราย ฐานมีส่วนร่วมในการวางแผน สั่งการ ควบคุมการดำเนินกิจกรรม ให้รุ่นน้องปี 1 ถอดเสื้อผ้า หมอบ คลาน และใช้ศีรษะปักพื้นเป็นเหตุทำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ มีโทษผลการสอบของภาคการศึกษานั้นเป็น “โมฆะ” โดยให้บันทึกผลการศึกษาเป็น “W”
และให้ลงโทษนักศึกษารุ่นพี่ปี 2 ที่เหลืออีก 5 ราย ฐานความผิดเป็นผู้ที่ทราบว่าจะมีการจัดกิจกรรม ตั้งแต่การวางแผน การนัดหมาย การเดินทาง ตลอดจนดำเนินกิจกรรม จนมีผู้ได้รับบาดเจ็บ ทั้งที่ทราบกิจกรรมดังกล่าวขัดต่อประกาศมหาวิทยาลัยฯ แต่กลับไม่ได้ห้ามปรามหรือแจ้งอาจารย์ หรือผู้เกี่ยวข้องทราบเพื่อเข้าระงับเหตุ เป็นการร่วมกันสนับสนุนให้เกิดกิจกรรม ให้ลงโทษตัดคะแนนความประพฤติ 10 คะแนน พร้อมแจ้งผู้ปกครองให้ทราบ
นอกจากนี้ยังสั่งลงโทษนักศึกษาปี 1 จำนวน 37 ราย ฐานความผิดมีส่วนร่วมในการสนับสนุนให้เกิดกิจกรรมไม่พึงประสงค์ เข้าร่วมกิจกรรมรับน้องอันเป็นการขัดต่อประกาศของมหาวิทยาลัย ให้ลงโทษตัดคะแนนความประพฤติ 10 คะแนน พร้อมแจ้งผู้ปกครองให้ทราบ ทั้งนี้นักศึกษาที่มีบทลงโทษสามารถอุทธรณ์คำสั่งได้ภายใน 15 วัน โดยคำสั่งลงโทษมีผลตั้งแต่วันที่ 25 มี.ค. 65
รศ.ดร.โฆษิตกล่าวอีกว่า บทลงโทษจากทางมหาวิทยาลัยฯ คนละส่วนกับโทษทางอาญา โดยบทลงโทษให้ออก นักศึกษารุ่นพี่ 15 คนทุกคนจะต้องมาเขียนใบลาออก และสามารถนำผลการเรียนของปี 1 ไปใช้ประโยชน์สมัครเข้าเรียนต่อได้ ถือเป็นโทษขั้นสูงใกล้เคียงกับไล่ออก แต่นักศึกษากลุ่มนี้ยังมีทางเดินทางการศึกษาในอนาคต
แต่หากต้องมองไปถึงโทษทางคดีอาญาที่ตำรวจแจ้งข้อหารุ่นพี่กลุ่มนี้ 7 คน ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย ซึ่งทั้ง 7 คนรับสารภาพ มีการถูกเนื้อต้องตัว “น้องเปรม” จนถึงแก่ความตาย โทษในคดีอาญาอาจรุนแรงถึงขั้นขนาดตัดสินอนาคตของเด็กกลุ่มนี้
บทลงโทษที่คณะกรรมการปกครองพิจารณาแล้วนั้น จะเป็นมาตรฐานของมหาวิทยาลัยฯ และเป็นกรณีศึกษาสำหรับมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ มหาวิทยาลัยฯ ได้รับความบอบช้ำจากเหตุการณ์นี้ ยอมรับสภาพกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น และจะวางแนวทางแก้ไขให้ดีที่สุดเพื่อเป็นแนวปฏิบัติในอนาคต
“ส่วนการช่วยเหลือครอบครัว “น้องเปรม” มีกลุ่มศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยฯ มอบเงินเยียวยา 4 แสนบาท ขณะเดียวกัน มหาวิทยาลัยได้ตั้งกองทุนเบื้องต้น 4 แสนบาท ช่วยเหลือน้องสาวของน้องเปรมให้ได้รับทุนเรียนจนจบปริญญาตรี และช่วยเหลือแฟนสาวของน้องเปรม ให้เรียนจบปริญญาตรีด้วย” รศ.ดร.โฆษิตกล่าวในตอนท้าย