เชียงใหม่ - มลพิษอากาศเมืองเชียงใหม่พุ่งยึดอันดับ 9 ของโลก ฝุ่นควันปกคลุมหนาทึบบดบังดอยสุเทพจนล่องหน พบค่า PM 2.5 และดัชนีคุณภาพอากาศเกินมาตรฐานกระทบสุขภาพ สั่งการ จนท.จัดชุดลาดตระเวนเข้มงวดพื้นที่เสี่ยงสกัดไฟป่า
บ่ายวันนี้ (5 มี.ค. 65) รายงานจากจังหวัดเชียงใหม่แจ้งว่า สถานการณ์ปัญหาฝุ่นควัน ไฟป่า และคุณภาพอากาศของจังหวัดเชียงใหม่ยังคงมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยสภาพตัวเมืองเชียงใหม่ถูกปกคลุมด้วยฝุ่นควันมาตลอดช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาและหนาทึบขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งล่าสุดไม่สามารถมองเห็นดอยสุเทพได้จากระยะไกลแล้ว ทั้งนี้ ผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศจังหวัดเชียงใหม่จากสถานีตรวจวัดของกรมควบคุมมลพิษ ในตำบลช้างเผือก, ตำบลศรีภูมิ และตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่, อำเภอแม่แจ่ม และอำเภอเชียงดาว พบค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 เฉลี่ยในรอบ 24 ชั่วโมง ณ เวลา 09.00 น. วันนี้อยู่ที่ 62 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร, 57 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร, 59 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร, 50 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร และ 69 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร ตามลำดับ ซึ่งสูงกว่าค่ามาตรฐาน 50 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร ทุกสถานี ส่วนค่าดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) อยู่ที่ 129, 116, 121, 100 และ 147 ตามลำดับ สูงกว่าค่ามาตรฐาน 100 ทุกสถานีเช่นกัน ซึ่งภาพรวมคุณภาพอากาศถือว่าอยู่ในระดับที่เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ
ด้านเว็บไซต์ Iqair.com ซึ่งรายงานคุณภาพอากาศจากทั่วโลก แจ้งผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศและการจัดอันดับเมืองที่มลพิษทั่วโลก เมื่อเวลา 13.00 น. วันนี้ พบว่าจังหวัดเชียงใหม่มีดัชนีคุณภาพอากาศอยู่ที่ 154 US AQI และค่า PM 2.5 วัดค่าได้ 62.2 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งเกินค่ามาตรฐาน และอยู่ในระดับที่มีผลกระทบต่อทุกคน โดยผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศดังกล่าวถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 9 ของเมืองที่มีมลพิษอากาศสูงสุดของโลก ทั้งนี้ 3 อันดับแรก ได้แก่ อันดับ 1 เมืองเดลี ประเทศอินเดีย ดัชนีคุณภาพอากาศ 309 US AQI, อันดับ 2 เมืองธากา ประเทศบังกลาเทศ 179 US AQI และอันดับ 3 เมืองโกลกาตา ประเทศอินเดีย 1172 US AQI
ขณะเดียวกัน รายงานข่าวแจ้งว่าจุดความร้อน (Hot Spot) ที่ตรวจพบในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือวันนี้ลดลงจากในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา โดยวันนี้ดาวเทียมเวียร์มีรายงานตรวจพบจำนวน 165 สุด มากที่สุดในจังหวัดแม่ฮ่องสอน 40 จุด รองลงมาคือจังหวัดเชียงใหม่ 21 จุด ทั้งนี้จังหวัดเชียงใหม่ได้จัดชุดลาดตระเวนครอบคลุมทั้ง 24 อำเภอยกเว้นอำเภอสารภีที่ไม่มีป่า เน้นย้ำให้ปฏิบัติงานอย่างเข้มงวดในการตรวจตราเพื่อป้องปรามไม่มีผู้เข้าไปลักลอบเผาป่า ซึ่งถือเป็นการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ เพราะหากเกิดไฟป่าแล้วเข้าไปตามดับจะเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ และต้องใช้กำลังพลเข้ามาดับไฟเป็นจำนวนมากและยากต่อการควบคุม