ลำปาง – ตามพิสูจน์แปลงนาตอซังแบบโบราณ..เกษตรกรลำปางลองลงข้าวพันธุ์โคชิฮิคาริราคาแพงสุดในโลกกิโลฯละ 4 พัน ปลูกครั้งเดียวเก็บเกี่ยวได้ 3-4 รอบใน 1 ปี ครึ่งไร่เก็บเกี่ยวรอบแรก คัดเกรดแยกขายฟันกำไรได้เกิน 200 เท่าตัวแล้ว
นายวันชัย ช่อไชยกุล เจ้าของธุรกิจด้านการเกษตร ต.ชมพู อ.เมืองลำปาง ได้นำดูแปลงทดลองปลูกข้าวแบบโบราณคือ การปลูกข้าวแบบตอซัง ที่เลือกใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวญี่ปุ่น สายพันธุ์โคชิฮิคาริ ซึ่งถือว่าเป็นข้าวที่มีราคาแพงที่สุดในโลก ณ ขณะนี้เมล็ดพันธุ์กิโลกรัมละ 3,900-4,000 บาท ข้าวสารทั่วไปกิโลกรัมละ 700 บาท
ซึ่งพบว่า ขณะนี้ต้นข้าวโคชิฮิคาริ ที่มีการในแปลงนาทดลองขนาดครึ่งไร่ เพียงครั้งเดียว เริ่มออกรวงรุ่นที่ 2 แล้ว หลังจากได้เก็บเกี่ยวข้าวรุ่นแรกมาได้ประมาณเกือบสองเดือน
นายวันชัย เล่าให้ฟังว่า ข้าวที่เห็นในแปลงขณะนี้เป็นการออกรวงรอบที่ 2 หลังเริ่มทดลองปลูกข้าวในแปลงนาเมื่อเดือนสิงหาคมคือ ปลูกวันแม่ และเก็บเกี่ยวข้าวรอบแรกวันพ่อ เมื่อปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมา พอเก็บเกี่ยวข้าวรอบแรกแล้วตนจึงได้ทดลองทำต่อ โดยใช้การทำนาแบบตอซัง ที่เคยทำกันในสมัยโบราณ
นั่นหมายความว่า..ใช้ตอซังเดิมที่ตัดรวงข้าวออกไปแล้ว ไม่ต้องไถกลบหรือเริ่มขบวนการปลูกใหม่ เพียงแค่เริ่มปล่อยน้ำ ปุ๋ยเข้านา ใช้วิธีเปียกสลับแห้ง ประมาณเดือนกว่า หลังจากนั้นก็ปล่อยน้ำทิ้งไว้ พร้อมกับปล่อยแหนแดงประมาณ 2 ขีดลงไปในแปลง เพื่อให้แหนแดงเป็นตัวคุมวัชพืชในแปลงนา และเมื่อน้ำแห้งแหนแดงก็จะกลายเป็นปุ๋ยได้ประโยชน์ต่อต้นข้าวด้วย
ซึ่งวิธีการปลูกแบบนี้ ทำให้เราลงทุนสูงแค่ครั้งเดียวต่อปี คือ เมล็ดข้าว ที่เลือกใช้สายพันธุ์ญี่ปุ่นเนื่องจากมีราคาแพง มีตลาดรองรับ แปลงนาทดลองขนาดครึ่งไร่ ตนซื้อเมล็ดพันธุ์มาเพียง 4 ขีดๆละ 390 บาท นำเพาะต้นกล้าในหลุม 1 หลุมต่อ 1 เมล็ด จากนั้นประมาณ 15 วันเมื่อต้นกล้างอก ซึ่งก็จะแตกกอเพิ่มขึ้นอีกก็ย้ายลงมาปลูกในนา ปล่อยน้ำ-เติมปุ๋ย ตามปกติจนครบ 4 เดือนก็เก็บเกี่ยว หลังจากนั้นก็สามารถเติมน้ำลงในแปลงต่อได้เลยรอเพียง 2 เดือนต้นข้าวก็จะเริ่มตั้งท้องและออกรวง
“ใน1 ปี จะสามารถหมุนเวียนเก็บผลผลิตได้ 3-4 ครั้ง จากการลงทุนแพงครั้งแรกเท่านั้น ที่เหลืออีก 3-4 ครั้ง ก็ลงทุนเพียงค่าปุ๋ยและเติมน้ำ ซึ่งถือว่าได้ผลดีมาก ข้าวออกรวงดี ต้นไม่ล้ม เมล็ดเต็ม ซึ่งอยากให้เกษตรกรศึกษาหาความรู้ตลอดเวลาเพราะบางครั้งสิ่งที่คนในอดีตเคยทำได้ผล โดยเฉพาะศาสตร์พระราชา ก็อาจจะเหมาะที่จะนำกลับมาใช้ในยุคสมัยนี้ได้ เพราะจะช่วยลดทุน เพิ่มผลผลิตให้กับเกษตรกรได้”
สำหรับแปลงนาตอซังข้าวพันธุ์โคชิฮิคาริขนาดครึ่งไร่นั้น ครั้งแรกได้ข้าวประมาณ 300 กว่ากิโลกรัม จากปกติ 1 ไร่จะได้ประมาณ 700-800 กิโลกรัม ซึ่งผลผลิตที่ได้สามารถแยกขาย คือ แยกเกรด หรือการคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ ครึ่งไร่จะได้ประมาณ 50 กิโลกรัม ก็จะแยกไว้เพื่อใช้เป็นเมล็ดพันธุ์หมุนเวียนต่อไปในการปลูกในนาของตนเอง อีกส่วนก็จำหน่ายซึ่งตนเองขายเพียงกิโลกรัมละ 3,000 บาท จากท้องตลาดกิโลกรัมละ 3,900-4,000 บาท ส่วนข้าวสารในตลาดขณะนี้กิโลกรัมละ 700 บาท แต่ตนยังมีไม่เพียงพอ
“ข้าวพันธุ์โคชิฮิคาริจากนาตอซังแปลงทดลองที่ตนทำนี้รอบแรกนี้ แบ่งขายได้เพียงเมล็ดพันธุ์เนื่องจากมีลูกค้าจองทั้งหมดแล้ว ข้าวสารก็ได้เพียงเก็บไว้กินบ้างเท่านั้น ซึ่งแปลงทดลองขณะนี้ข้าวยังไม่เพียงพอ ขายได้เพียงเมล็ดพันธุ์ที่คัดคุณภาพซึ่งก็มีลูกค้าจองไว้ทั้งหมดแล้ว อย่างไรก็ตามในอนาคตหากมีจำนวนมากก็ยังสามารถแปรรูปเป็นชาข้าวกล้องโคชิฮิคาริงอก เพิ่มมูลค่าให้ข้าวได้อีกมากเลยทีเดียว”
ทั้งนี้หากคิดกันเป็นตัวเลขกลมๆง่ายๆ แปลงทดลองนาตอซังข้าวพันโคชิฮิคาริ ขนาดครึ่งไร่ ลงทุนเมล็ดพันธุ์ครั้งเดียว 1,560 บาท ได้ผลผลิตรอบแรก 300 กก. คัดเกรดแยกขายเป็นเมล็ดพันธุ์ได้ 50 กก.ที่เหลือขายเป็นข้าวสาร สามารถทำเงินได้ประมาณ 325,000 บาท หรือเกินกว่า 200 เท่า และยังสามารถเก็บผลผลิตได้อีก 2-3 รอบ