ราชบุรี - ชาวเกษตรกรฟาร์มหมูเปิดใจรัฐแก้ปัญหาหมูแพงไม่ตรงจุด เผยหมูตายจากโรค ควรหาวัคซีนที่ดีมาใช้ จนปัญญาไม่รู้ต้องทำอย่างไรต่อ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงนี้ราคาหมูในประเทศมีราคาพุ่งสูงขึ้นถึงกว่า 200 บาท และมีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้น จากปัญหาหลักคือ ไม่มีหมูเพียงพอต่อความต้องการ เพราะมีโรคระบาดจนตายยกเล้าหลายฟาร์ม หมูโตไม่ทัน ขณะที่ผู้เลี้ยงรายย่อยสู้ไม่ไหว ปิดฟาร์มไม่เลี้ยงหมูต่อ ไม่เว้นแม้แต่ฟาร์มขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ เรียกได้ว่าโดนกันถ้วนหน้า หนำซ้ำยังโดนต้นทุนทั้งราคาอาหาร ค่ายาที่แพงขึ้น
วันนี้ (7 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่เข้าพบกับกลุ่มสมาชิกสหกรณ์การเกษตรและปศุสัตว์ ราชบุรี จำกัด เพื่อฟังความคิดเห็นของนโยบายภาครัฐในการแก้ปัญหาเนื้อหมูแพงทั้งประเทศ ณ ฟาร์มหมูของ นายโยธิน จุลขันธ์ ม.4 ต.บ้านเลือก อ.โพธาราม จ.ราชบุรี ซึ่งปัจจุบันได้รับผลกระทบเช่นกัน จนเหลือหมูอยู่ในระบบเพียง 50 ตัวจากกว่า 2,000 ตัว
นายถาวร ปรพัฒนชาญ รองประธานสหกรณ์การเกษตรและปศุสัตว์ ราชบุรี จำกัด เปิดเผยว่า อำเภอโพธาราม เป็นพื้นที่หนึ่งที่มีการเลี้ยงหมูรองลงมาจาก อ.ปากท่อ และจอมบึง ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรรายย่อย แบ่งเป็นผู้ที่ขึ้นทะเบียนกับกรมปศุสัตว์จำนวน 90 ราย และอีกกว่า 500 ราย เป็นการเลี้ยงในระดับครัวเรือน มีแม่พันธุ์หมูรวมกว่า 20,000 ตัว
ตั้งแต่ช่วงกลางปี 2564 ที่ผ่านมา มีหมูในฟาร์มของสมาชิกทยอยล้มตายด้วยโรคระบาดเป็นจำนวนมาก โดยมีอาการไข้สูง ซึม ไม่กินอาหาร ท้องเสีย หอบ ผิวหนังเป็นผื่นแดง ในแม่หมูมีอาการแท้งลูก ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับอาการของกลุ่มโรคเพิร์ส (PRRS) โรคอหิวาต์สุกร (CSF) โรคปากและเท้าเปื่อย ที่เกษตรกรเคยเผชิญมาแล้วกว่า 50 ปี มีวัคซีนในการป้องกัน แต่โรคระบาดที่พบอยู่นี้ อาการของหมูที่เป็นหนักกว่ามาก ปัจจุบัน อ.โพธาราม มีหมูเหลืออยู่ในระบบไม่ถึงร้อยละ 20 เกษตรกรจึงมองว่าโรคที่ระบาดอยู่ในขณะนี้เป็นโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF)
สำหรับนโยบายรัฐที่ออกมา ไม่ว่าจะเป็นการห้ามส่งออกหมูมีชีวิตเป็นเวลา 3 เดือน ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะราคาหมูของไทยสูงมากที่สุดในอาเซียน และมีปริมาณไม่เพียงพอต่อการบริโภคภายในประเทศอยู่แล้ว ในส่วนของการลดราคาค่าอาหารสัตว์ จะช่วยเฉพาะกลุ่มของเกษตรกรที่ยังมีหมูอยู่ในระบบ และไม่ช่วยให้ราคาเนื้อหมูลดลง
นโยบายการช่วยเหลือปล่อยเงินกู้ผ่าน ธ.ก.ส. จำนวน 30,000 ล้านบาท ให้เกษตรกรรายย่อยที่ต้องการกลับเข้ามาสู่ระบบใหม่รายละ 100,000 บาท ในขณะที่ปัจจุบันราคาลูกหมูน้ำหนัก 25 กิโลกรัม อยู่ที่ 4,500 บาท ถ้าซื้อจำนวน 10 ตัว เป็นเงิน 45,000 บาท เงินส่วนที่เหลือต้องเก็บไว้เป็นค่าอาหาร เมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นว่าในระยะสั้นไม่ได้เป็นการเพิ่มปริมาณในระบบ อีกทั้งเกษตรกรยังเสี่ยงต่อการสูญเสีย เพราะยังไม่มีวิธีกำจัด หรือป้องกันโรคระบาดได้อย่างเด็ดขาด จึงอาจจะเป็นการทำร้ายเกษตรกรให้เข้าสู่วังวนหนี้สินมากกว่าเดิม
นอกจากนี้ ในเรื่องของการนำเข้าเนื้อหมูจากต่างประเทศ ในมุมมองของเกษตรกรส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย เพราะยิ่งจะตอกย้ำปัญหาให้เกษตรกรที่มีหมูเหลืออยู่ขาดทุนยิ่งกว่าเดิม แต่อย่างไรก็ตาม หากต้องนำเข้าจริง รัฐบาลควรกำหนดให้หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งที่เกี่ยวข้องเป็นผู้มีสิทธินำเข้าแต่เพียงผู้เดียว เพื่อง่ายต่อการควบคุม ลดปัญหาราคาหมูตกต่ำ ทั้งนี้ เกษตรกรจะวางใจและกลับมาเริ่มต้นอาชีพเลี้ยงหมูได้ใหม่หรือไม่นั้นอยู่ที่วัคซีนป้องกันโรคเพียงอย่างเดียว ประเทศไทยจะมีการประกาศให้เป็นเขตพื้นที่โรคระบาด ASF หรือไม่ คงไม่สำคัญอีกแล้ว
ด้าน นายโยธิน จุลขันธ์ เกษตรกรเปิดเผยว่า ตนมีอาชีพเลี้ยงหมูมาแล้วกว่า 20 ปี โดยมีแม่พันธุ์ จำนวน 350 ตัว หมูขุนและหมูอนุบาลรวมกว่า 2,000 ตัว เมื่อช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2564 หมูขุนภายในฟาร์มเริ่มมีอาการป่วย ซึม ไม่กินอาหาร ตัวแดงเป็นจ้ำ ถ่ายเหลว มีจุดเลือดออกตามตัว มีไข้สูงกว่า 50 องศาเซลเซียส ตนจึงรักษาตามอาการ แต่ไม่เป็นผล และตายในที่สุด
กระทั่งพ่อค้าหมูที่มารับซื้อแจ้งว่า อาการดังกล่าวน่าจะเกิดจากโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร เพราะหมูฟาร์มอื่นๆ ก็มีลักษณะอาการแบบเดียวกัน ตนจึงได้ทยอยคัดหมูออก เพื่อลดความเสียหาย ปัจจุบันตนมีหมูเหลือเพียง 50 ตัว ซึ่งเป็นหมูที่ไม่ได้ขนาด ก็ต้องเลี้ยงต่อ แม้ไม่รู้ว่าจะตายวันไหน
จากนโยบาย ตนมองว่าการแก้ไขปัญหาราคาหมูคงถึงทางตันแล้ว ประเทศไทยต้องยอมรับความจริง ส่วนผู้เลี้ยงหมูคงต้องหาอาชีพอื่น เพื่อหาเลี้ยงปากท้อง แก้ปัญหาหนี้สินที่มีอยู่กันต่อไป