กาฬสินธุ์ - ผลกระทบจากราคาข้าวเปลือกนาปีที่ตกต่ำเหลือแค่กิโลกรัมละ 5 บาท ส่งผลให้ชาวนาที่กาฬสินธุ์ชะลอการขาย โดยนำเมล็ดข้าวเปลือกที่จ้างรถเกี่ยวไปตากแดดให้แห้งหวังขายข้าวให้ได้ราคาสูงกว่ากิโลกรัมละ 5 บาท และดีกว่าการขายข้าวสดเพิ่มอีกกิโลกรัมละ 1-2 บาท
วันนี้ (15 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการติดตามบรรยากาศการเก็บเกี่ยวข้าวนาปีของชาวนาใน จ.กาฬสินธุ์ ที่นิยมจ้างรถเกี่ยวข้าว ถึงแม้จะจ่ายค่าจ้างสูงถึงไร่ละ 800-1,000 บาท เนื่องจากรวดเร็ว ประหยัดเวลา โดยพบว่าเริ่มนำเมล็ดข้าวไปตากแดดให้แห้งมากกว่าที่จะนำข้าวเกี่ยวสดไปขายให้พ่อค้าคนกลางที่ยังกดราคารับซื้อที่กิโลกรัมละ 5 บาท แต่การนำข้าวเปลือกแห้งไปขายจะได้ราคาสูงกว่า เพราะจะไม่ถูกหักค่าความชื้น
นายบุญมี ภูบัวเพชร อายุ 58 ปี อยู่บ้านเลขที่ 60 ชาวนาบ้านหนองทุ่ม หมู่ 1 ต.บึงวิชัย อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า ราคาข้าวเปลือกนาปีที่ตกต่ำเหลือเพียงกิโลกรัมละ 5 บาท ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ ชาวนาและเจ้าของรถจับจ้างขนข้าวไปขายเดือดร้อนกันมาก โดยตนเป็นทั้งชาวนาและเจ้าของรถรับจ้างขนส่งข้าว ปีที่ผ่านมาราคาขายข้าวเปลือกเริ่มต้นที่กิโลกรัมละ 7-8 บาท ปุ๋ยถุงละ 800 บาท ค่ารถเกี่ยวไร่ละ 600 บาท ค่าขนส่งข้าวเที่ยวละ 300 บาท อยู่ในเกณฑ์พอดี ชาวนาและผู้ประกอบการพอจะยอมรับได้ ไม่เดือดร้อนเหมือนทุกวันนี้
ทุกวันนี้ไม่มีชาวนาคนไหนอยากจะขนข้าวไปขายเพราะมีแต่ขาดทุน ดังนั้น หลังจากจ้างรถเกี่ยวเสร็จแล้วจึงเอาไปผึ่งแดด หรือตากแดดให้เมล็ดข้าวแห้ง ตากประมาณ 3 แดดเพื่อให้เมล็ดแห้งพอดี จากนั้นจึงจะนำไปขายเพื่อหวังว่าจะได้ราคาสูงกว่ากิโลกรัมละ 5 บาท และราคาดีกว่าการขายข้าวเปลือกเกี่ยวสด เพราะจะไม่ถูกพ่อค้าคนกลางกดราคาหรือหักค่าความชื้น ซึ่งปกติจะได้ราคาสูงกว่าข้าวเกี่ยวสดกิโลกรัมละ 1-2 บาท
นายบุญมีกล่าวย้ำว่า แม้ขายช้าได้เงินช้าก็ต้องอดทน ราคามันต่ำเหลือเกิน ชะลอขายก็หวังว่าราคาจะเพิ่มขึ้น ตนซึ่งเป็นทั้งชาวนาและรับจ้างขนส่งข้าวเปลือก เคยมีรายได้จากการขนส่งข้าวเปลือกจากแปลงนาไปตากในหมู่บ้านเที่ยวละ 300 บาท ทุกวันนี้ด้วยความเห็นอกเห็นใจเพื่อนชาวนาที่ราคาขายข้าวตกต่ำ และแบกรับค่าใช้จ่ายสูง จึงคิดค่าบริการขนส่งไปตากในหมู่บ้านเพียงเที่ยวละ 100-200 บาท ตามระยะทางใกล้ไกล
หรือหากจะรับจ้างขนส่งข้าวไปขายที่ลานรับซื้อ ระยะทางไปกลับประมาณ 40 กิโลเมตร คิดค่าจ้างเที่ยวละ 800 บาท