กาญจนบุรี - ถอดรหัสแนวทางแก้ปัญหาเจ้าของที่ถมดินติดบ้านมิดหลังคา-บทเรียนคนคิดถมที่ลาดเชิงเขาในอนาคต รองผู้ว่าฯกาญจนบุรี ย้ำใบอนุญาตสิ้นสุดต้องขุดดินออกห่างรั้ว แต่บางประเด็นยังไม่มีกฎหมายบังคับ ต้องใช้ทั้งหลักรัฐศาสตร์ ผ่าทางตันให้สองฝ่ายอยู่ร่วมกันได้
กรณีชาวบ้านซอยร้านอาหารครัวภักดี ท้องที่หมู่ 1 ต.ลาดหญ้า อ.เมืองกาญจนบุรี ออกมาร้องเรียนถึงความเดือดร้อนจากการที่เจ้าของที่ดินแปลงข้างเคียงถมที่พร้อมสร้างกำแพงสูงมิดหลังคาบ้าน รวม 8 หลัง ประกอบด้วย ครอบครัว ร.ต.สมชาย หนองรั้ง เลขที่ 190/74 ครอบครัว น.ส.มธุรส คุ้มประสิทธิ์ เลขที่ 190/98 ครอบครัวนายจตุรงค์ ภิรมยา เลขที่ 190/101 ครอบครัวนางนภิศรา ทองอุปการ เลขที่ 190/95 ครอบครัวนางอิศรานันท์ เขียวสาคร เลขที่ 190/100 ครอบครัว น.ส.ฉลวย สัมฤทธิสุทธิ์ เลขที่ 190/83 ครอบครัวนายปราโมท รุ่งหิรัญ เลขที่ 190/82 และครอบครัวนายวชิระ ประกอบ เลขที่ 190/97
ต่อมา วันที่ 5 พ.ย. ร.ต.พงศธร ศิริสาคร รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี ได้ประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมหาทางแก้ไขปัญหาให้คู่กรณีทั้ง 2 ฝ่าย อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขและเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน ผลการหารือในที่ประชุมสามารถนำข้อสรุปไปเป็นอุทาหรณ์ให้ผู้ที่ต้องการถมที่ดินได้เป็นอย่างดี
ร.ต.พงศธร กล่าวว่า จากการที่ได้พูดคุยกันสามารถสรุปได้ใน 3 เรื่องด้วยกัน เรื่องแรกเกี่ยวกับ พ.ร.บ.การขุดและถมดิน พ.ศ.2543 ประเด็นที่สองคือ การก่อสร้างแนวรั้วอาคารที่เข้าข่าย พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร และประเด็นที่สามคือ เรื่องของค่าความเสียหายของบ้านเรือนที่ได้รับผลกระทบ
เบื้องต้น เรื่องการขุดดินและถมดิน ต้องเข้าใจก่อนว่าผ่านผู้บริหารเทศบาลตำบลลาดหญ้า มาแล้ว 2 ช่วง ซึ่งการถมดินนั้นตรวจพบว่าไม่ได้รับอนุญาต และเทศบาลตำบลลาดหญ้า ได้มีหนังสือไปถึงเจ้าของสั่งให้หยุดการถมดิน ประกอบกับได้ออกประกาศทางการปกครองให้เจ้าของที่ดินหรือผู้ดำเนินการถมดินมาขออนุญาตให้ถูกต้องตามกฎหมายตั้งแต่วันที่ 2 เม.ย.2563
ระหว่างนั้นเจ้าของที่ดินกล่าวอ้างว่าอยู่ระหว่างการรวบรวมเอกสาร จึงได้มายื่นหนังสือขออนุญาตอีกครั้งหนึ่งในวันที่ 19 ส.ค.2563 ต่อมา เทศบาลตำบลลาดหญ้าได้ออกใบอนุญาตให้ในวันที่ 28 ส.ค.2563 โดยการออกใบอนุญาตนั้นมีการระบุวันเวลาที่ชัดเจนว่าให้ถมดินได้ตั้งแต่วันที่ 28 ส.ค.2563 ถึงวันที่ 24 ก.พ.2564
ซึ่งในการขอใบอนุญาตครั้งนี้ได้มีการยื่นแบบแปลน ซึ่งจะต้องดำเนินการตามข้อกฎหมายเนื่องจากเป็นการขุดและถมดินเกินกว่า 2,000 ตารางเมตร จึงจำเป็นที่จะต้องมีระบบการระบายน้ำ ต้องมีวิศวกรควบคุมงาน จากการตรวจสอบได้มีการดำเนินการอยู่ 3 ส่วนด้วยกัน
ส่วนที่ 1 คือ ให้เทศบาลตำบลลาดหญ้าในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่รับผิดชอบกฎหมายตาม พ.ร.บ.ควบคุมและถมดิน ดำเนินการเปรียบเทียบปรับ ตามมาตรา 42 เป็นการเปรียบเทียบปรับดินก่อนที่จะได้รับการอนุญาตถมดิน ส่วนที่ 2 แต่งตั้งคณะทำงานขึ้นมาตรวจสอบในห้วงระหว่างที่สั่งให้หยุดการดำเนินการถมดิน ตั้งแต่วันที่ 2 เม.ย.ไปจนถึงวันที่ได้รับอนุญาตอีกครั้งหนึ่งคือวันที่ 28 ส.ค.2563 ว่ามีการดำเนินการขัดคำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่นหรือไม่ หากพิสูจน์พบว่ามีการขัดคำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่น ให้ทางเทศบาลตำบลลาดหญ้าดำเนินการตามหน้าที่
ส่วนที่ 3 เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาการถมดินในวันที่ 24 ก.พ.64 แล้ว ยังมีการดำเนินการถมดินต่ออยู่อีกหรือไม่ เนื่องจากผู้ถมดินได้มาขออนุญาตต่อใบอนุญาตถมดิน แต่ทางเทศบาลตำบลลาดหญ้าได้พิจารณาว่ายังมีเรื่องร้องเรียนเกิดขึ้น จึงไม่อนุญาตต่อใบอนุญาตให้ จึงถือว่าใบอนุญาตนั้นสิ้นสุดลงในวันที่ 24 ก.พ.64 และต่อมาเมื่อได้มีการเข้าตรวจสอบในพื้นที่ปรากฏว่า ยังไม่มีการก่อสร้างระบบการระบายน้ำ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะการสั่งให้ยุติการถมดินหรือการที่ไม่ต่อใบอนุญาต จึงให้ทางเทศบาลญเชิญวิศวกรสามัญ และผู้ควบคุมงานมาแสดงตนเพื่อรับรองการออกแบบ และนำเอกสารการควบคุมงานมาให้เทศบาลได้ดู
ประเด็นที่สองคือ เรื่องของการก่อสร้างกำแพงกันดินและรั้วที่ก่อด้วยอิฐบล็อกให้สูงขึ้นไป จากข้อเท็จจริงตามหลักฐานเอกสารจากทางเทศบาลตำบลลาดหญ้า และเจ้าของที่ได้ยืนยันกับเทศบาลว่า ได้มีการออกใบอนุญาตการก่อสร้างรั้วจริง แต่ไม่ได้มีการอนุญาตก่อสร้างกำแพงกันดิน
เมื่อไม่มีการอนุญาตให้ก่อสร้างกำแพงกันดิน และตามที่ทางโยธาธิการและผังเมืองที่ได้ไปดูแล้ว ปรากฏว่ารั้วได้สร้างอยู่บนสิ่งก่อสร้างที่ไม่มีฐานราก อาจจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายกับบุคลที่อยู่ข้างเคียงได้ จึงมอบหมายให้ทางเทศบาลในฐานะพนักงานท้องถิ่นสั่งให้มีการรื้อถอนรั้วออกภายใน 15 วัน และเนื่องจากไม่มีการขออนุญาตก่อสร้างกำแพงรั้วกันดิน ซึ่งตามกฎกระทรวงข้อ 16 ในเรื่องมาตรการการป้องกัน ที่ระบุเอาไว้ว่าฐานของดินนั้นจะต้องอยู่ห่างจากโครงสร้างเท่ากับความสูงที่สร้างขึ้นไป เพราะฉะนั้นเจ้าของที่ดินจะต้องขุดดินออกจากแนวรั้วไม่น้อยกว่า 4.50 เมตร
จากนั้นโยธาธิการและผังเมือง และทางเทศบาลตำบลลาดหญ้าจะได้ส่งวิศวกรเข้าไปตรวจสอบความมั่นคงของแนวกำแพงกันดิน ซึ่งทางเทศบาลจะไม่มีการพิจารณาอนุญาตทำเป็นแนวกันดินอีก แต่จะบังคับให้เจ้าของที่ดินใช้อาคารเป็นแนวการสร้างระบบการระบายน้ำ
ส่วนดินที่จะต้องขุดให้ห่างจากแนวรั้ว 4.50 เมตรนั้น จะต้องดำเนินการทำทั้ง 3 ฝั่ง คือ ด้านหลังและด้านข้างซ้ายและขวา และจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน นับจากวันที่เจ้าของที่ดินได้รับแจ้ง คาดว่าจะเป็นวันจันทร์ (8 พ.ย.) ที่จะถึงนี้
ประเด็นที่ 3 คือ เรื่องของความเสียหายที่เกิดจากกระบวนการของการถม กระบวนการในการถมอาจจะไม่ได้เกิดจากแรงดันของดิน แต่อาจจะเกิดจากแรงสั่นสะเทือนขณะที่รถบรรทุกวิ่งเข้ามาถมดิน ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี นายจีระเกียรติ ภูมิสวัสดิ์ ได้มอบหมายให้โยธาธิการและผังเมือง ร่วมกับเทศบาลตำบลลาดหญ้า ส่งช่างและวิศวกรของโยธาธิการและผังเมือง ขออนุญาตเจ้าของบ้านเข้าพื้นที่เพื่อประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการถมดิน จากนั้นจะส่งข้อมูลนี้ไปหารือร่วมกัน โดยให้ยุติธรรมจังหวัดนำข้อมูลไปหารือกับเจ้าของบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหาย เกณฑ์ในการคำนวณการก่อสร้างตามหลักวิศวกรรมของโยธาคำนวณให้เจ้าของบ้านว่าจะตกลงหรือไม่ จากนั้นจะเกิดการเจรจาเพื่อไกล่เกลี่ยข้อพิพาท หากทั้งสองฝ่ายยอมรับกันได้คงไม่ต้องดำเนินการในขั้นต่อไป
“เรามีกฎหมายอีกหนึ่งฉบับที่จะให้ยุติธรรมจังหวัดเข้าหารือกับผู้ได้รับผลกระทบ เป็นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งการพูดคุยในวันนี้มีอยู่ด้วยกัน 3 ข้อ แต่เรามีข้อแนะนำอยู่อย่างหนึ่งว่า ขอให้นายอำเภอเมืองกาญจนบุรี ผู้ใหญ่บ้าน นายกเทศบาลตำบลลาดหญ้า และเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นทั้งหลายลงไปพูดคุยกับทั้งสองฝ่าย เพราะว่าอย่างไรก็ตามเราต้องอยู่อาศัยร่วมกันในอนาคตต่อไป”
สำหรับกระบวนการเข้าไปสำรวจความเสียหายนั้นจะให้เริ่มภายในสัปดาห์หน้า ซึ่งจะต้องนัดหมายเจ้าของบ้านก่อนและคาดว่าคงใช้เวลาไม่เกิน 2 สัปดาห์ เบื้องต้น พบว่าผู้ได้รับผลกระทบมีอยู่ประมาณ 10 หลังคาเรือน
ถามว่ากรณีที่เกิดขึ้นมีความบกพร่องของเจ้าหน้าที่รัฐหรือไม่นั้น เรื่องนี้นายจีระเกียรติ ภูมิสวัสดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี ได้มอบหมายให้นายอำเภอเมืองกาญจนบุรี ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริงจากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องแล้ว แต่ทั้งนี้เราต้องขอโทษผู้ได้รับความเดือดร้อนทุกราย ยอมรับว่าระบบของเรามีปัญหาเรื่องการรายงานและเรื่องของการทำงาน ซึ่งจะต้องไปดูเรื่องของเจ้าหน้าที่ต่อไป
แต่อย่างไรก็ตาม อยากจะฝากไปถึงประชาชนว่า ก่อนดำเนินการถมที่หรือสร้างกำแพงในลักษณะดังกล่าวขอให้ไปดูในข้อกฎหมายให้ดีก่อน ซึ่งที่ผ่านมา ได้หารือกับอาจารย์ที่ปรึกษาในระดับวิศวกรโยธาว่าจะมีการจัดการอย่างไร ขณะนี้ได้รับคำตอบแล้วว่าพื้นที่บริเวณนั้นมันเป็นพื้นที่เชิงเขา ลักษณะด้านท้ายสุดของแปลงที่ดินต่ำกว่าด้านหน้าที่ติดกับถนน
ณ ขณะนี้ยังไม่มีข้อกฎหมายใดๆ ในกรมโยธาฯ ในการยกร่างให้ถมดินลักษณะนี้ แต่ต่อไปถ้าพื้นที่ลาดเชิงเขาน่าจะมีกฎกระทรวงออกมารองรับว่าจะถมในลักษณะที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้อีกแล้ว แต่การที่มันเกิดเพราะว่ามันเป็นช่องโหว่ของกฎหมาย ซึ่งการแก้ไขเราไม่ได้ใช้หลักนิติศาสตร์เพียงอย่างเดียว แต่เราใช้หลักรัฐศาสตร์ในการที่จะให้ทั้ง 2 ฝ่ายอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขด้วย