เชียงใหม่ - ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 แถลงจับ รปภ.สาวใหญ่อ้างเป็นตำรวจพร้อมฉกภาพสาวสวยมาใช้เล่นโซเชียลมีเดียหลอกหนุ่มใหญ่สันกำแพงหลงรักหัวปักหัวปำ โอนเงินให้กว่า 20 ครั้ง รวมกว่า 2 แสนบาท ดำเนินคดีฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่นและนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ พร้อมเตือนประชาชนผู้ใช้โซเชียลมีเดียระวังตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ
วันนี้ (28 ต.ค. 64) ที่ห้องประชุมกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 พลตำรวจโท ปิยะ ต๊ะวิชัย ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 พร้อมด้วย พลตำรวจตรี บัณฑิต ตุงคะเศรณี รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5, พลตำรวจตรี กฤตธาพล ยี่สาคร รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 และพลตำรวจตรี วีรชน บุญทวี รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 แถลงผลการปฏิบัติตามนโยบายของ พลตำรวจเอก สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พลตำรวจเอก ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ/ผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) ในการสืบสวน ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีต่างๆ เกี่ยวกับการถูกหลอกลวง หรือฉ้อโกงผ่านช่องทางสื่อออนไลน์
โดยติดตามจับกุมตัว นางระพีพัฒน์ งามสง่า หรือนางกัญญาภัทร งามสง่า (เปลี่ยนชื่อภายหลัง) อายุ 58 ปี ผู้ต้องหา ในข้อหา "ฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ" ซึ่งพฤติการณ์กล่าวคือ นายประเสริฐ พรหมเทศ อายุ 60 ปี ชาวอำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ ผู้เสียหาย ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ที่สถานีตำรวจภูธรสันกำแพง ให้ดำเนินคดีต่อนางระพีพัฒน์หรือนางกัญญาภัทร ที่หลอกให้โอนเงินสูญไปกว่า 200,00 บาท ซึ่งเหตุเกิดจากผู้เสียหายรู้จักกับผู้ต้องหาทางเฟซบุ๊ก และพูดคุยกันทางไลน์ ตั้งแต่ปลายปี 2562 โดยผู้ต้องหาอ้างตนว่าอายุ 39 ปี เคยเป็นตำรวจแต่ลาออกมาประกอบอาชีพส่วนตัว และเอาภาพถ่ายของหญิงสาวคนอื่นที่แต่งเครื่องแบบตำรวจหาจากอินเทอร์เน็ตทั่วไปส่งมาให้ดูทางไลน์
ขณะเดียวกันหลอกลวงผู้เสียหายว่าจะมาอยู่กับผู้เสียหาย ในลักษณะชอบพอกันฉันชู้สาว แต่ได้หลอกลวงให้ผู้เสียหายโอนเงินไปให้จำนวนหลายครั้ง โดยอ้างว่าเป็นค่าใช้จ่าย (ผู้ต้องหาอ้างขึ้นมาเอง) เช่น ค่าประกันตัวน้องชายที่ถูกจับเรื่องยิงคนตาย, ค่าไปช่วยงานศพ, ค่าซ่อมรถ, ค่าขับรถชนคนเสียชีวิต ฯลฯ แล้วก็ยืนยันว่าจะมาอยู่กับผู้เสียหายและช่วยทำธุรกิจ ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ และโอนเงินไปให้จำนวน 20 กว่าครั้ง รวมทั้งสิ้น 223,000 บาท หลังจากนั้นเมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2563 จึงทราบว่าข้อมูลดังกล่าวข้างต้นไม่เป็นความจริงเลย เพราะผู้ต้องหาอายุ 57 ปี ไม่เคยเป็นตำรวจมาก่อนเลย และมีอาชีพเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยบริษัทแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ส่วนภาพต่างๆ ในไลน์ที่พูดคุยกัน ก็เอาภาพของหญิงสาวคนอื่นที่หาได้จากอินเทอร์เน็ตส่งมาให้ผู้เสียหายดู
ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลออกหมายจับผู้ต้องหาดังกล่าว ซึ่งศาลจังหวัดเชียงใหม่ได้อนุมัติหมายจับผู้ต้องหาดังกล่าว ตามหมายจับที่ 466/2564 ลงวันที่ 30 ก.ค. 2564 ในข้อหา “ฉ้อโกงทรัพย์ โดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น” และต่อมาเมื่อวันที่ 26 ต.ค. 64 เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการพิเศษสามารถติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหาตามหมายจับในคดีนี้ ส่งมอบให้พนักงานสอบสวน สภ.สันกำแพง เชียงใหม่ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป พร้อมกำชับให้ทุกหน่วยในสังกัดติดตามจับกุมเหล่ามิจฉาชีพที่ใช้รูปแบบฉ้อโกงในลักษณะดังกล่าว ไม่ให้ไปสร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชน และเตือนประชาชนผู้ใช้โซเชียลมีเดียให้ระมัดระวังตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพที่ก่อเหตุลักษณะนี้