เชียงใหม่ - นักข่าวหนุ่มใหญ่หอบหลักฐานยื่นเจ้าคณะอำเภอเมืองเชียงใหม่และผู้บริหาร ม. มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม่ ร้องตรวจสอบพฤติกรรมอดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสและอาจารย์พระระดับผู้บริหารของมหาวิทยาลัยมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม สร้างโลกสองใบ กลางวันห่มเหลืองอยู่วัดเป็นพระ ตกเย็นกลับบ้านแปลงกายเป็นฆราวาส ทั้งขับรถยนต์มีบ้านอยู่กับสาวฉันสามีภรรยา กินเที่ยวเหมือนคนทั่วไป สร้างความเสื่อมเสียให้ศาสนา ระบุแม้ล่าสุดชิงลาสิกขาไปเมื่อไม่กี่วัน แต่ชี้ความผิดสำเร็จแล้ว
วันนี้ (11 ต.ค. ) ที่วัดสวนดอก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ นายยศสรัล ดาวเรือง อายุ 60 ปี อาชีพผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่ง นำเอกสารหลักฐานเป็นสำเนาภาพถ่ายเกี่ยวกับพฤติกรรมไม่เหมาะสมของอดีตพระสงฆ์รูปหนึ่งที่มีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสวนดอก และเป็นอาจารย์ระดับผู้บริหารของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม่ เข้ายื่นร้องเรียนที่สำนักงานเจ้าคณะอำเภอเมืองเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม่ เพื่อขอให้ตรวจสอบ และดำเนินการต่อพระสงฆ์รูปดังกล่าว เนื่องจากมีหลักฐานพบว่ามีพฤติกรรมไม่ปฏิบัติกิจของสงฆ์ และออกไปพักอยู่นอกวัดใช้ชีวิตตามปกติเหมือนคนทั่วไป
โดยอดีตพระสงฆ์ดังกล่าวมีบ้านพักอาศัยและอยู่กินแบบสามีภรรยากับผู้หญิง รวมทั้งกินเที่ยวและจับจ่ายซื้อของ โดยแต่งตัวเป็นคนปกติ แล้วจะเปลี่ยนเป็นนุ่งห่มจีวรเฉพาะตอนเข้าวัดหรือสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยเท่านั้น ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวถือว่าสร้างความเสื่อมเสียให้แก่พระพุทธศาสนา และอาจจะสร้างความเสียหายอื่นให้แก่วัดและมหาวิทยาลัยด้วย แม้อดีตพระสงฆ์รูปดังกล่าวจะชิงลาสิกขาออกไปแล้วเมื่อวันที่ 8 ต.ค. 64 แต่ต้องการให้มีการตรวจสอบและดำเนินการจนถึงที่สุด ซึ่งเบื้องต้นผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เทวัญ เอกจันทร์ ผู้ช่วยอธิการบดี ฝ่ายกิจกรรมทั่วไป มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม่ ได้รับเรื่องไว้และจะดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
ทั้งนี้ นายยศสรัลเปิดเผยว่า ตนเป็นผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่ง ได้รับแจ้งเบาะแสว่าอดีตพระรูปดังกล่าวมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม โดยมีพฤติกรรมอยู่กินแบบสามีภรรยากับหญิงสาวที่บ้านพักในตัวเมืองเชียงใหม่ จึงได้เริ่มทำการติดตามตรวจสอบตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค. 64 เป็นต้นมา ตรวจพบว่าทุกวันพระรูปดังกล่าวจะขับรถยนต์กระบะสีขาว 4 ประตูมาที่วัดด้วยตัวเองแล้วเข้าไปสอนหนังสือ เมื่อเสร็จแล้วจะขับรถกลับออกไปพร้อมกับเปลี่ยนชุดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นคนปกติ และอำพรางตัวด้วยการสวมวิกหรือสวมหมวก กลับไปอยู่บ้านพักย่านตำบลแม่เหียะ ในตัวเมืองเชียงใหม่
นอกจากนี้ยังใช้ชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไปด้วย ทั้งการพาผู้หญิงไปกินข้าวตามร้านอาหารและจับจ่ายซื้อของ รวมทั้งพบด้วยว่าคบหากับผู้หญิงในเวลาเดียวกันอย่างน้อย 2 คน และมีการเลี้ยงดูเด็กที่ไม่แน่ใจว่าเป็นลูกของอดีตพระกับผู้หญิงหรือไม่ ซึ่งตนได้ถ่ายภาพเก็บหลักฐานไว้ทั้งหมด ทั้งภาพถ่ายและวิดีโอเพื่อเตรียมนำเสนอข่าว โดยเมื่อเก็บหลักฐานได้ชัดเจนแล้ว ต่อมาจึงได้เข้าไปพบอดีตพระสงฆ์รูปดังกล่าวในบ้านพักแบบไม่ให้ทันตั้งตัวเพื่อจะสอบถามข้อเท็จจริง และพบอดีตพระสงฆ์รูปดังกล่าวอยู่ในบ้านพักกับหญิงสาว ซึ่งพระสงฆ์ได้พยายามติดสินบนตนแลกกับการไม่นำเสนอข่าว และมีการโอนเงินให้จำนวน 20,000 บาท
แต่ปรากฏว่าในเวลาต่อมาอดีตพระสงฆ์รูปดังกล่าวกลับไปแจ้งความดำเนินคดีต่อตนเองข้อหากรรโชกทรัพย์ และได้ชิงลาสิกขาออกไป ซึ่งตนเห็นว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องที่จะปล่อยให้อดีตพระรูปดังกล่าวลอยนวลไป เพราะถือว่าการกระทำความผิดต่างๆ นั้นสำเร็จไปแล้ว ดังนั้นจึงได้นำหลักฐานเข้ายื่นต่อทางเจ้าคณะอำเภอเมืองเชียงใหม่และทางมหาวิทยาลัยเพื่อขอให้ตรวจสอบและดำเนินการ รวมทั้งตนจะเป็นตัวแทนชาวพุทธเข้าแจ้งความดำเนินคดีต่ออดีตพระรูปนี้ด้วยที่ทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อมเสีย โดยยืนยันว่าตนไม่เคยมีพฤติกรรมข่มขู่ หรือกรรโชกทรัพย์เรียกรับเงินจากอดีตพระสงฆ์รูปดังกล่าว และพร้อมต่อสู้คดีความเพราะมีหลักฐานเช่นกัน