ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - บีโอไอโคราชสรุปส่งเสริมการลงทุนครึ่งปี 64 อีสานล่างได้รับอนุมัติส่งเสริมแค่ 17 โครงการ มูลค่า 1,277 ล้าน ลดลงจากปีที่แล้วอื้อจากกว่า 6,000 ล้าน โคราชแชมป์ 13 โครงการ มูลค่า 1,199 ล้าน เผยอุตฯ พลังงานทดแทนยังมาแรง คาดครึ่งปีหลังยังไม่ฟื้นเหตุโควิดระลอกใหม่ยังไม่คลี่คลาย ส่งผลกระทบความเชื่อมั่นนักลงทุน
วันนี้ (15 ก.ย.) น.ส.ทยาภรณ์ สีสังข์ ผู้อำนวยการศูนย์เศรษฐกิจการลงทุนภาคที่ 2 (นครราชสีมา) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) หรือ BOI เปิดเผยว่า ภาพรวมการส่งเสริมการลงทุนใน 6 เดือนแรกปี 2546 (ม.ค.-มิ.ย.) ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างในพื้นที่รับผิดชอบ 8 จังหวัด (นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ สุรินทร์ ยโสธร ศรีสะเกษ อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี) มีโครงการได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนรวมจำนวน 17 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 1,277 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2563 ซึ่งมีโครงการได้รับอนุมัติ 26 โครงการ มูลค่าการลงทุน 6,032 ล้านบาท
ทั้ง 17 โครงการได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุน แยกเป็น จ.นครราชสีมา 13 โครงการ มูลค่าการลงทุน 1,199 ล้านบาท เกิดการจ้างงานคนไทย 351 คน, จ.อุบลราชธานี 2 โครงการ มูลค่าการลงทุน 7 ล้านบาท เกิดการจ้างงาน 16 คน, จ.บุรีรัมย์ 1 โครงการ มูลค่าการลงทุน 59 ล้านบาท เกิดการจ้างงาน 13 คน และ จ.สุรินทร์ 1 โครงการ มูลค่าการลงทุน 12 ล้านบาท เกิดการจ้างงาน 1 คน
ในขณะที่การกระจายสัดส่วนผู้ถือหุ้น เป็นโครงการคนไทยถือหุ้นทั้งสิ้น 10 โครงการ คิดเป็นร้อยละ 59 ของจำนวนโครงการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุน และมีเงินลงทุน 293 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 22 ของเงินลงทุน ส่วนโครงการต่างชาติถือหุ้นทั้งสิ้นมี 5 โครงการ คิดเป็นร้อยละ 29 ของจำนวนโครงการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุน และมีเงินลงทุน 278 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 22 ของเงินลงทุน ส่วนโครงการร่วมลงทุนไทยและต่างชาติมี 2 โครงการ คิดเป็นร้อยละ 12 ของจำนวนโครงการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุน และมีเงินลงทุน 706 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 55 ของเงินลงทุนในพื้นที่อีสานตอนล่าง
นางสาวทยาภรณ์กล่าวต่อว่า โครงการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ภาคอีสานตอนล่าง 8 จังหวัดทั้ง 17 โครงการในครึ่งปีแรกนี้ จำแนกตามกลุ่มอุตสาหกรรม ประกอบด้วย 1. กลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรและแปรรูปอาหาร เป็นกิจการผลิตแป้งแปรรูปและสิ่งปรุงแต่งอาหาร 3 โครงการ และกิจการผลิตอาหารสัตว์ 1 โครงการ, 2. กลุ่มอุตสาหกรรมทางการแพทย์ เป็นกิจการสถานพยาบาล 1 โครงการ
3. กลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล เป็นกิจการผลิตเครื่องจักรอัตโนมัติที่มีขั้นตอนการออกแบบระบบอัตโนมัติและระบบควบคุมการปฏิบัติงานด้วยสมองกลเอง 1 โครงการ และกิจการผลิตเครื่องพิมพ์หน้ากว้างที่สามารถพิมพ์บนกระดาษหน้ากว้าง กระดาษแบบมัน 1 โครงการ, 4. กลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เป็นกิจการการออกแบบทางอิเล็กทรอนิกส์และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องจากการออกแบบทางอิเล็กทรอนิกส์ 1 โครงการ และกิจการผลิต EARPHONE/HEADPHONE และชิ้นส่วนของ ARPHONE/HEADPHONE 1 โครงการ
5. กลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานสาธารณูปโภคและสิ่งแวดล้อม เป็นกิจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ 5 โครงการ และกิจการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพ 1 โครงการ, 6. กลุ่มอุตสาหกรรมแร่ โลหะ และวัสดุ เป็นกิจการผลิตชิ้นส่วนเหล็กหล่อ 1 โครงการ และ 7. กลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อการอุตสาหกรรม เป็นกิจการผลิตเกลือบริสุทธิ์ 1โครงการ
น.ส.ทยาภรณ์กล่าวอีกว่า การส่งเสริมการลงทุนครึ่งปี 2564 ภาวะเศรษฐกิจยังคงชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ตัวเลขการลงทุนลดลง แต่อย่างไรก็ตามมีกิจการที่ยังคงได้รับความสนใจที่นักลงทุนเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง คือ กิจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน ไม่ว่าจะเป็นกิจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา กิจการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพ เป็นต้น ทั้งนี้ อาจเนื่องมาจากสำนักงานบีโอไอได้มีนโยบายปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ส่งเสริมผู้ประกอบการทั้งเก่าและใหม่ ลงทุนต่อยอดกิจการที่มีอยู่เดิมแต่หมดสิทธิประโยชน์ไปแล้ว โดยจะได้รับทั้งสิทธิประโยชน์ด้านเครื่องจักร และยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติม
“สำหรับแนวโน้มการลงทุนในไตรมาส 3 คาดว่าภาวะเศรษฐกิจยังคงไม่ฟื้นตัว เนื่องจากประเทศไทยประสบกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ยังไม่คลี่คลาย ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ยังชะลอการลงทุนออกไปก่อน ประกอบกับประชาชนขาดรายได้ ส่งผลให้การจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศลดลง” น.ส.ทยาภรณ์กล่าวในตอนท้าย
