ราชบุรี - แม่ค้าขนมไทยเห็นใจไรเดอร์แจกข้าว ขนม น้ำดื่มกว่า 400 ชุด หลังมีประเด็นดรามางานหดหาย ด้านไรเดอร์เผยมันเป็นเรื่องส่วนบุคคลไม่เห็นจะต้องเอามาลง
จากรณีที่สังคมออนไลน์แห่ติดแฮชแท็ก #แบนแอปสั่งซื้ออาหารสีชมพู แห่ลบแอป-ยกเลิกขาย โพสต์ให้ออกพนักงาน อ้างต่อต้านก่อการร้ายทุกรูปแบบ ทำให้หลายคนเกิดความไม่พอใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้คำว่าก่อการร้ายที่ดูจะเกินไป เนื่องจากการแสดงออกทางการเมืองควรเป็นสิทธิและเสรีภาพของประชาชนคนไทย ทำให้แฮชแท็กดังกล่าวขึ้นไปติดอันดับ 1 จากเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ร้านค้าหลายรายจะไม่ให้บริการผ่านแบรนด์ดังกล่าวอีก ลามไปจนถึงขั้นลบแอป หรือออกจากแอปสั่งอาหาร สุดท้ายไรเดอร์หลายคนทำเอาหน้ามืดเพราะยึดเอาอาชีพนี้เป็นอาชีพหลัก เมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวก็ทำเอาไปไม่เป็น
ล่าสุด ที่หน้าร้านขนมไทย บ้านภูมิจิต เลขที่ 12/9 ต.หน้าเมือง อ.เมือง จ.ราชบุรี น.ส.หทัยรัตน์ พลอยหิน หรือคุณปลา อายุ 41 ปี เจ้าของร้านได้จัดเตรียมผัดไทย ขนม และน้ำดื่ม เพื่อเตรียมให้ไรเดอร์ฟูดแพนด้า ซึ่งได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยให้เหตุผลว่า เกี่ยวที่แบรนด์ ไม่เกี่ยวกับคน แต่ทั้งนี้ ไม่ได้แจกแค่ไรเดอร์แบรนด์นี้อย่างเดียว ยังแจกให้แบรนด์อื่นๆ ด้วย นอกจากนั้น ยังแจกชาวบ้านที่พบเห็น โดยตั้งเป้าไว้ 4-500 กล่อง
น.ส.หทัยรัตน์ กล่าวว่า ตนมองว่าวิกฤตที่เกิดขึ้นกับไรเดอร์มันกะทันหันมาก จนบางคนไม่มีเวลาตั้งตัว และเรามีความรู้สึกว่าอย่างน้อย เขาเป็นเพื่อนร่วมสังคมเดียวกับเรา เลยคิดและโพสต์ลงในเฟซบุ๊ก และมีแนวร่วมหลังบ้านที่เป็นทั้งผู้ประกอบการ และเพื่อนๆ ที่อยู่ในราชบุรี ช่วยกันสนับสนุนมา ทั้งเงิน น้ำดื่ม หรือวัตถุดิบที่ให้เรามาแปรรูปและทำแจก เหมือนเป็นการส่งกำลังใจให้ไรเดอร์ ส่วนตัวไม่ได้มีความคิดเห็นอะไรกับเรื่องนี้ ขอแค่อยู่ตรงกลางในสังคมที่วิกฤตอยู่ขณะนี้ ทางจังหวัดราชบุรีเองส่วนตัวคิดว่าได้รับผลกระทบเยอะ ซึ่งที่ร้านใช้บริการของแบรนด์นี้อยู่ ตั้งแต่เมื่อวานเงียบหาย ไม่มีการใช้บริการเลย และจะเห็นไรเดอร์วิ่งผ่านไปมาตลอด แต่ 1-2 วันนี้แทบไม่เจอเลย น้อยมากๆ อยากให้กำลังใจอยากให้ทุกคนอดทน อย่าไปท้อ เราจะต้องมีลมหายใจต่อไปในวันพรุ่งนี้เพราะว่าทุกชีวิตมันไปต่อได้
ด้านไรเดอร์แบรนด์สีชมพูกล่าวว่า ปกติแล้วถ้าวิ่งทำงานทั้งวันอาจจะได้ 30-40 รายการต่อวัน แต่ขณะนี้ มากสุด 30 รายการต่อวัน บางร้านก็ยกเลิก หรือบางคนเลิกสั่ง เท่าที่สังเกตไรเดอร์เองมีออกไปทำงานให้แบรนด์อื่น ส่วนประเด็นที่เกิดขึ้นตนคิดว่ามันเป็นความคิดเห็นส่วนบุคคลไม่จำเป็นจะต้องมาลงอะไรแบบนั้น
