xs
xsm
sm
md
lg

อึ้งหนัก! หนุ่มลำปางแพ้วัคซีนโควิด 24 วันไม่หาย ปากยังเบี้ยว-แขนขาชา/อ่อนแรง หดตัวไม่เท่ากัน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ลำปาง - หนุ่มลำปางช้ำใจหนัก..ฉีดวัคซีนโควิดแล้วแพ้ยาว ผ่านมา 24 วันยังไม่กลับเป็นปกติ ทั้งปากเบี้ยวไม่หาย แขนขายังชา-อ่อนแรง แถมหดตัวไม่เท่ากัน สปสช.เยียวยาหมื่นเดียวไม่พอ หมอบอกเครียด-ต้านวัคซีนให้พบจิตแพทย์อีก


ความคืบหน้ากรณี นายวุฒิชัย กาไว อายุ 26 ปี ชาว ต.แม่สุก อ.แจ้ห่ม จ.ลำปาง ที่เข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ตั้งแต่วันแรกคือ 7 มิถุนายน 2564 ที่ผ่านมา แล้วเกิดอาการไม่พึงประสงค์ คือ เริ่มจากปวดท้อง ปวดศีรษะ อาเจียน อ่อนเพลีย ท้องร่วง แขนซ้าย-ขาซ้าย ซึ่งเป็นซีกที่ฉีดวัคซีนเกิดอาการอ่อนแรง-ชา และเกิดอาการใจสั่น เหนื่อย จนต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลใน อ.แจ้ห่ม และโรงพยาบาลเอกชน ตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายนเรื่อยมาแต่ก็ยังไม่หาย กระทั่งเมื่อวันที่ 24 มิถุนายนต้องเข้ารับการรักษาที่ รพ.ลำปางอีกครั้ง

ล่าสุดจนถึงวันนี้ (30 มิ.ย. 64) นายวุฒิชัยก็ยังคงมีอาการอ่อนเพลียเหมือนเดิม ปากที่เบี้ยวก็ยังไม่ปกติ แขนซ้าย-ขาซ้าย ซึ่งเป็นซีกที่ฉีดวัคซีนมีอาการตึงเกร็งทำให้เกิดอาการหดตัว จนทำให้แขนและขาสองข้างสั้น-ยาวไม่เท่ากัน ซึ่งหมอบอกว่าเป็นอาการสโตรก คือตนเองมีความเครียดและต่อต้านวัคซีน พร้อมจะให้ทำแบบทดสอบกับทางจิตแพทย์ และนัดทำการตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI)

นายวุฒิชัยเปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ตนมีสุขภาพแข็งแรง เป็นนักกีฬา แต่หลังจากฉีดวัคซีนตนก็กลายเป็นคนป่วย เดินทางเข้า-ออกโรงพยาบาลเพื่อรักษาตัวมาตลอดโดยใช้เงินของตตนเองทั้งสิ้น งานก็ไม่ได้ทำ ทั้งยังเป็นภาระของพ่อแม่อีก

ขณะที่ สปสช.เยียวยาให้เพียง 1 หมื่นบาท ตนเห็นว่าไม่สมเหตุสมผล ซึ่งตนเสียค่าใช้จ่ายมากกว่านี้และเสียโอกาสต่างๆ ด้วย ซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าสุขภาพจะกลับมาดีเหมือนเดิมหรือไม่ และที่ช้ำใจหนักไปกว่านั้นคือ หมอบอกว่าอาการที่เกิดขึ้นกับตนเป็นเหมือนคนที่วิตกและต่อต้านวัคซีน จะต้องให้พบจิตแพทย์เพื่อทดสอบทางจิต


ซึ่งตนได้บอกว่าก่อนหน้านี้ตนไม่มีอาการอะไร ไม่ได้เครียด แต่หลังจากฉีดวัคซีนแล้วเกิดอาการป่วยซึ่งแพทย์ก็ระบุแล้วว่าแพ้วัคซีนจริง ซึ่งอาการที่เกิดขึ้นตนไม่ได้ป่วยทางจิต

ด้าน นางจันทร์คำ กาไว อายุ 63 ปี ผู้เป็นแม่นายวุฒิชัย เปิดเผยว่า ตนกับสามีมีอาชีพทำนา รับจ้าง หลังจากลูกป่วยแม่ก็ต้องรับภาระดูแลลูก เหลือเพียงพ่อเขาที่ต้องทำงานรับจ้างเพื่อหาเลี้ยงครอบครัวเพราะไม่มีรายได้อื่น ซึ่งขณะนี้นอกจากที่ สปสช.เยียวยามาเพียง 1 หมื่นบาท ซึ่งตนเห็นว่าน้อยมากเพียงแค่ค่าเดินทางรักษาตลอดที่ผ่านมาก็ไม่เพียงพอแล้ว และก็ต้องใช้จ่ายดูแลลูกทุกวัน ก็ไม่มีหน่วยงานไหนเข้ามาช่วยเหลือเรื่องค่าใช้จ่ายเลย มีเพียงแวะมาดูอาการของลูกเท่านั้น

“เห็นอาการลูกแล้วก็หดหู่ใจเพราะดูอาการจะหนักขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพียงแค่รอไปวันๆเท่านั้น”


กำลังโหลดความคิดเห็น