กาญจนบุรี - รอง ผบก.ฝ่ายความมั่นคง ภ.จว.กาญจน์-ผกก.ตชด.13 นำกำลังเดินเท้าตลอดแนวชายแดน สกัดแรงงานเถื่อนหลบหนีเข้าเมือง ป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ตลอด 24 ชม.
วันนี้ (28 พ.ค.) พ.ต.อ.พงษกร อุปพงษ์ รอง ผบก.ภ.จว.กาญจนบุรี ฝ่ายความมั่นคง เปิดเผยว่า ตามวิทยุสั่งการตำรวจด่วนที่สุด ที่ 0007.33/1503 ลงวันที่ 24 พ.ค.64 ด้วย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจบูรณาการความร่วมมือในการบริหารจัดการพื้นที่ชายแดนในห้วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยกลไกศูนย์สั่งการชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านของจังหวัดชายแดน
และตามคำสั่งการของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.ธนา ชูวงศ์ ผบช.ภ.7 พล.ต.ต.วัฒนา ยี่จีน รอง ผบช.ภ.7 และพล.ต.ต.วรณัน สุขเจริญ ผบก.ภ.จว.กาญจนบุรีให้เข้มงวดกวดขันการลักลอบข้ามชายแดนเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยผิดกฎหมาย รวมทั้งป้องกันและปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติด และการค้ามนุษย์ในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรีอย่างเข้มข้น ด้วยการให้บูรณาการประสานการปฏิบัติกับหน่วยงานความมั่นคงทหาร ฝ่ายปกครอง ออกตรวจตามแนวชายแดนในเขตจังหวัดกาญจนบุรี ตลอด 371 กิโลเมตร 43 ช่องทาง
โดยที่ผ่านมา ตนพร้อมด้วย พ.ต.ต.มารุต ฉัตรทัณฑ์ สว.สส.สภ.เมืองกาญจนบุรี ร.อ.สุระชัย ทองเหลือง ผบ.ร้อยทหารพราน 1115 กรมทหารพรานที่ 11 กองทัพภาคที่ 1 รวมทั้งเจ้าหน้าที่หน่วยปฏิบัติการพิเศษ (นปพ.กก.สส.ภ.จว.) กาญจนบุรี พร้อมชุดสืบสวน สภ.เมืองกาญจนบุรี และนายอภิรัฐ สงบจิต ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 12 ต.บ้านเก่า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี
ร่วมปฏิบัติการตามแผนสกัดกั้นคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง การปราบปรามยาเสพติดและการค้ามนุษย์ โดยออกตรวจพื้นที่แนวชายแดนสุดเขตประเทศไทย บริเวณฐานทหารพรานโตเซ็ง และตลอดแนวชายแดนบริเวณแนวสันแดน ท้องที่หมู่ 12 ต.บ้านเก่า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี โดยสภาพพื้นที่ตลอดแนวชายแดนนั้นเป็นป่าและหุบเขาที่สูงชัน จึงเป็นอุปสรรคต่อการป้องกัน แต่เจ้าหน้าที่สลับสับเปลี่ยนกำลังลาดตระเวนตลอด 24 ชั่วโมง
ทั้งนี้ ได้กำชับให้บูรณาการเพิ่มความเข้มในการออกตรวจสกัดกั้น โดยใช้ความระมัดระวังในการปฏิบัติตามหลักยุทธวิธีเพื่อลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น และให้ถือปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ตามที่กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดเอาไว้อย่างเคร่งครัดเพื่อความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติเอง
ด้าน พ.ต.อ.สุกิจ ก้องจตุศักดิ์ ผกก.กก.ตชด.13 (ค่ายพระพุทธยอดฟ้า) กล่าวว่า สำหรับเส้นทางการลักลอบหลบหนีเข้าเมืองของแรงงานชาวพม่าในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี หลักๆ มีอยู่ 4 เส้นทาง ประกอบด้วย เส้นทางที่ 1 ลักลอบเข้ามาตามช่องทางแนวชายแดนทางด้านตรงข้าม อ.สังขละบุรี และอาศัยมากับรถโดยสารประจำทาง ตามเส้นทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 323 จาก อ.สังขละบุรี เข้ามาในตัวเมืองกาญจนบุรี สู่สถานประกอบการต่างๆ ในพื้นที่ และจังหวัดใกล้เคียง
เส้นทางที่ 2 ลักลอบเข้ามาตามช่องทางแนวชายแดนทางด้านตรงข้าม อ.สังขละบุรี โดยผู้นำพา แล้วเลี้ยวซ้ายผ่านบ้านทิพุเย บ้านทุ่งนางครวญ ต.ชะแล อ.ทองผาภูมิ ลัดเลาะแนวขอบเขื่อนศรีนครินทร์ หรือแพขนานยนต์ไปยัง อ.ศรีสวัสดิ์ จากนั้นเดินทางผ่าน อ.เมืองกาญจนบุรี สู่สถานประกอบการ และพื้นที่ใกล้เคียง
เส้นทางที่ 3 ลงเรือที่ท่าน้ำหลังวัดวังก์วิเวการาม ต.หนองหลู อ.สังขละบุรี มาขึ้นฝั่งที่ท่าแพต่างๆ หลังเขื่อนวชิราลงกรณ อ.ทองผาภูมิ และเดินทางโดยรถยนต์ผ่าน อ.ทองผาภูมิ สู่สถานประกอบการ และพื้นที่ใกล้เคียง และเส้นทางที่ 4 บริเวณบ้านท้ายเหมือง ลัดเลาะมาตามถนนสายบ้านท้ายเหมือง ต.บ้องตี้ อ.ไทรโยค-บ้านวังโพธิ์-ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 323 สู่สถานประกอบการต่างๆ ในพื้นที่ และจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งจุดหมายปลายทางส่วนใหญ่ที่แรงงานหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายไปทำงานจังหวัดหลักคือ จ.สมุทรสาคร กรุงเทพมหานคร และในเขตปริมณฑล
กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 13 มีพื้นที่ในความรับผิดชอบส่วนหน้า จำนวน 2 จังหวัด คือ จ.กาญจนบุรี และ จ.ราชบุรี มีพื้นที่แนวชายแดนติดต่อกับประเทศพม่า ยาวประมาณ 443 กิโลเมตร มีช่องทางเข้าออก ในพื้นที่รับผิดชอบตลอดแนวชายแดน จำนวน 56 ช่องทาง ประกอบด้วย จ.กาญจนบุรี 43 ช่องทาง และ จ.ราชบุรี 13 ช่องทาง
กก.ตชด.13 ได้วางระบบเครือข่ายภาคประชาชนและอาสาสมัครในพื้นที่แนวชายแดน เพื่อแจ้งข้อมูลด้านการข่าวและมีส่วนร่วมในการป้องกันสกัดกั้นไม่ให้กลุ่มเสี่ยงจากภายนอกประเทศลักลอบเข้ามาตามพื้นที่แนวชายแด ด้วยการประสานขอความร่วมมือกับหน่วยทหารพม่า และผู้นำชนกลุ่มน้อยที่อยู่ตามแนวชายแดนในการสกัดกั้นผู้หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย
สำหรับปัญหาและอุปสรรค เนื่องจากสภาพภูมิประเทศส่วนใหญ่ในพื้นที่เป็นป่าเขา ทำให้มีความยากลำบากในการลาดตระเวน และขบวนการนำพาผู้ลักลอบหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายมีความชำนาญเส้นทางหลบเลี่ยงจุดตรวจของเจ้าหน้าที่ได้ง่าย แต่เจ้าหน้าที่กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 13 ได้ออกลาดตระเวนเพื่อป้องกันทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อป้องกันอย่างเต็มที่