เชียงใหม่ - รองแม่ทัพภาคที่ 3 นำเปิดปฏิบัติการ Kick Off สยบฝุ่นหมอกควันไฟป่าพื้นที่รอยต่อ 3 จังหวัดภาคเหนือ “เชียงใหม่-เชียงราย-ลำปาง” บูรณาการหน่วยงานใน 5 อำเภอร่วมทำแนวกันไฟ บริหารเชื้อเพลิงและลาดตระเวนดับไฟป่า ตั้งเป้าลดปัญหาพื้นที่เกิดเหตุซ้ำซาก
วันนี้ (10 มี.ค. 64) พล.ต.ถนัดพล โกศัยเสวี รองแม่ทัพภาคที่ 3 ในฐานะรองผู้บัญชาการกองบัญชาการควบคุมสถานการณ์ไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาคเหนือ กองทัพภาคที่ 3 ส่วนหน้าเป็นประธานเปิดปฏิบัติการ KICK OFF สยบฝุ่นหมอกควันไฟป่า ปี 2564 ที่บริเวณศาลเจ้านางแก้ว ถนนเชียงใหม่-เชียงราย ช่วงหลักกิโลเมตรที่ 53 ซึ่งเป็นรอยต่อระหว่างอำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย
โดยนำทุกภาคส่วนบูรณาการการทำงานร่วมกันทำแนวกันไฟ, บริหารจัดการเชื้อเพลิง และลาดตระเวนดับไฟป่าในรอยต่อ 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่, เชียงราย และลำปาง ที่ประกอบด้วย 5 อำเภอ ได้แก่ อำเภอดอยสะเก็ด, อำเภอพร้าว, อำเภอเวียงป่าเป้า, อำเภอเมืองปาน และอำเภอวังเหนือ เพื่อเป็นการป้องกันและลดระดับปัญหาหมอกควันไฟป่าที่เป็นปัญหาซ้ำซากในพื้นที่รอยต่อ 3 จังหวัด
นอกจากนี้ ภายในงานมีพิธีลงนามข้อตกลง MOU ความร่วมมือ 3 จังหวัด 5 อำเภอของ 14 หน่วยงาน และร่วมกันนำใบไม้บรรจุลงในเสวียนทำแนวกันไฟบริเวณพื้นที่รอยต่ออำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย เพื่อเป็นเชิงสัญลักษณ์ของความร่วมมือในครั้งนี้ด้วย
ทั้งนี้ รองแม่ทัพภาคที่ 3 ในฐานะรองผู้บัญชาการกองบัญชาการควบคุมสถานการณ์ไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาคเหนือ กองทัพภาคที่ 3 ส่วนหน้า กล่าวว่า สถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันยังคงเป็นวาระแห่งชาติที่ต้องเร่งรัดแก้ไขปัญหา ซึ่งทุกส่วนราชการ ภาคเอกชน และภาคประชาชนได้ร่วมกันบูรณาการแก้ไขปัญหามาโดยตลอด ปัญหาประการหนึ่งที่สำคัญ คือ พื้นที่รอยต่อระหว่างจังหวัดจำนวน 19 รอยต่อในพื้นที่ภาคเหนือ
โดยพื้นที่แห่งนี้ก็เป็นพื้นที่หนึ่งที่เป็นผลจากการบูรณาการร่วมกัน จึงเกิดกิจกรรม Kick Off สยบฝุ่นหมอกควันไฟป่ารอยต่อ 3 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดเชียงใหม่, เชียงราย และจังหวัดลำปาง ในพื้นที่ 5 อำเภอ ได้แก่ อำเภอดอยสะเก็ด, พร้าว, เวียงป่าเป้า, เมืองปาน และอำเภอวังเหนือ เพื่อให้ปฏิบัติการเฝ้าระวัง ดับไฟป่า แนวเขตรอยต่อ 3 จังหวัด ให้เกิดประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น
สำหรับสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันภาคเหนือตอนบนนั้น เวลานี้เริ่มมีผลกระทบกับประชาชน 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน และจังหวัดตาก โดยภาพรวมภาคเหนือมีค่า PM 2.5 ระหว่าง 30-202 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร, ค่า PM 10 ระหว่าง 57-262 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และค่า AQI ระหว่าง 39-312 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
ขณะที่จากการตรวจสอบสาเหตุพื้นที่ที่มีค่าฝุ่นละอองเกินมาตรฐานพบว่า สาเหตุส่วนใหญ่เกิดการจุดไฟหาของป่า, การเผาเศษวัชพืช และการเผาเตรียมพื้นที่ทางการเกษตร โดยวันนี้เกิดจุดความร้อนในภาคเหนือ 17 จังหวัด จำนวน 1,447 จุด เกิดในพื้นที่ป่าอนุรักษ์จำนวน 1,066 จุด พื้นที่ป่าสงวนฯ จำนวน 356 จุด โดยพบจุดความร้อนสูงสุดที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน จำนวน 510 จุด จังหวัดตาก 311 จุด และจังหวัดเชียงใหม่ 295 จุด