กาญจนบุรี - ชาว ต.ห้วยกระเจา ลุ้นอีก 1 บ่อ หลังอธิบดีกรมฯ บาดาลสั่งเร่งขุดเจาะหาแหล่งน้ำบาดาลเพิ่ม ที่ความลึก 650 เมตร ลุ้นอีก 1 เดือน จะพบบ่อน้ำพุอีกหรือไม่
จากกรณี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) มอบหมายให้นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สั่งการให้นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล เร่งดำเนินงานตามโครงการศึกษา สำรวจ และรูปแบบการพัฒนาน้ำบาดาลจากแหล่งน้ำกักเก็บในหินแข็งระดับลึกในพื้นที่ธรณีวิทยาโครงสร้างซับซ้อน เพื่อหาแหล่งน้ำบาดาลมาช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ชาว ต.ห้วยกระเจา อ.ห้วยกระเจา จ.กาญจนบุรี ที่ประสบปัญหาภัยแล้งมานานกว่า 30 ปี
นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ จึงได้มอบหมายให้นายเกรียงศักดิ์ ภิระไร ผู้อำนวยการสำนักสำรวจและประเมินศัยภาพน้ำบาดาล น.ส.อัคปศร อัคราช ผู้อำนวยการส่วนวิจัยและพัฒนางานสำรวจน้ำบาดาล นายทะนงศักดิ์ ล้อชูสกุล ผอ.สำนักทรัพยากรน้ำบาดาล เขต 2 (สุพรรณบุรี) พร้อมทีมงาน ลงพื้นที่สำรวจในภาคสนามอย่างเข้มข้นเป็นเวลากว่า 1 สัปดาห์ สามารถสำรวจพบแนวรอยแตกที่ซ่อนอยู่ข้างล่าง ในชั้นหินแปร จำพวกหินควอตซ์ไซต์ ซึ่งแนวรอยแตกดังกล่าวมีโครงสร้างคล้ายเส้นท่อขนาดใหญ่ที่ไขว้กันไปมาในหลายระดับความลึกและมีความกว้างประมาณ 2 กิโลเมตร ยาวมากกว่า 23 กิโลเมตร
ในที่สุดโครงการดังกล่าวก็ประสบความสำเร็จ เมื่อเจ้าหน้าที่สามารถเจาะพบน้ำบาดาลที่มีปริมาณน้ำใต้ดินเป็นจำนวนมหาศาล และที่สำคัญน้ำที่พุพวยพุ่งขึ้นมามีรสชาติหวานและซ่าคล้ายโซดา สร้างความฮือฮาให้แก่คนไทยทั้งประเทศ ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น
แต่อย่างไรก็ตาม นายศักดิ์ วิเชียรศิลป์ อธิบดีกรมน้ำบาดาล ยังได้มอบหมายให้นายเกรียงศักดิ์ ภิระไร ผู้อำนวยการสำนักสำรวจและประเมินศักยภาพน้ำบาดาล เร่งสำรวจหาแหล่งน้ำบาดาลเพิ่มเติมจากที่ได้แล้ว จำนวน 3 บ่อ ซึ่งขณะนี้กำลังเร่งดำเนินการเจาะบาดาลเพิ่มเติมในพื้นที่บ้านทุ่งคูณ หมู่ 19 ต.ห้วยกระเจา อ.ห้วยกระเจา
ล่าสุด เมื่อเวลา 13.00 น.วันนี้ (4 มี.ค.) นายเกรียงศักดิ์ ภิระไร ผู้อำนวยการสำนักสำรวจและประเมินศักยภาพน้ำบาดาล เปิดเผยที่บริเวณหน้างานเจาะบาดาล ว่า ท่อนที่ใช้เจาะบาดาลมีความยาวท่อนละ 6 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 5 นิ้ว แต่ละท่อนมีน้ำหนักเกือบ 200 กิโลกรัม ศักยภาพความสามารถของรถเจาะสามารถเจาะได้ที่ความลึก 650 เมตร ซึ่งเราเตรียมท่อนเจาะเอาไว้กว่า 100 ท่อน จากสภาพหินด้านล่างที่แข็งคาดว่าต้องใช้เวลาประมาณ 1 เดือน จึงจะแล้วเสร็จ
โดยเราใช้เครื่องมือสำรวจธรณีฟิสิกส์มาตอกหลักแล้วปล่อยกระแสไฟฟ้าลงไป เมื่อปล่อยกระแสไฟฟ้าลงไปเราก็จะวัดค่าความต่าง แล้วเอามาคำนวณเป็นค่าความต้านทานจำเพาะที่ความลึกทุกๆ 5 เมตร 10 เมตร ไปจนถึง 300-400 เมตร บริเวณไหนที่มีความแข็งของหิน ค่าความต้านทานไฟฟ้าจำเพาะมันก็จะสูง บริเวณไหนที่มีรอยแตกของหินค่าความต้านทานไฟฟ้าจำเพาะก็จะต่ำ ส่านบริเวณไหนที่มีรอยแตกและมีน้ำบาดาลสะสมอยู่ค่าความต้านทานไฟฟ้าจำเพาะก็จะต่ำกว่าบริเวณที่อยู่ข้างเคียง
ซึ่งเราจะทำเป็นแนวเดียวกันในหลายๆ จุด เมื่อเสร็จแล้วเราจะมาประมวลผลเป็นภาพตัดขวาง โดยให้นึกภาพเหมือนกับการที่เราผ่าโลกออกมาดูว่าที่ความลึกแต่ละระดับนั้นมีชั้นดินหรือชั้นหินอะไร มีรอยแตกหรือไม่ แล้วรอยแตกมีค่าความต้านทานไฟฟ้าเป็นอย่างไร ถ้ามีค่าความต้านทานไฟฟ้าต่ำมันอาจจะเป็นน้ำบาดาลหรืออาจจะเป็นดินเหนียว ทั้งหมดขึ้นอยู่กับลักษณะธรณีวิทยาที่อยู่ด้านล่าง และต้องอาศัยประสบการณ์ของนักธรณีวิทยา หรือนักอุทกธรณีวิทยาในการประมวลผลเพื่อแปลความหมายแล้วมากำหนดจุดเจาะบาดาล แต่จะให้รู้อย่างแน่นอนก็คือการลงมือเจาะ ที่เราเห็นอยู่นี้คือการเจาะสำรวจ
ขณะนี้เราเจาะไปแล้วที่ความลึก 158 เมตร ซึ่งได้รับรายงานจากหน่วยเจาะว่าที่ความลึกประมาณ 80 เมตรมีรอยแตกและมีน้ำบาดาลสะสมอยู่ แต่มีปริมาณน้ำบาดาลที่ไม่มาก มีแค่ประมาณ 20 คิว หรือประมาณ 2,000 ลิตรต่อชั่วโมง ซึ่งน้ำปริมาณนี้ถ้าจะสูบขึ้นมาใช้ในครัวเรือนก็เพียงพอ แต่ไม่สามารถที่จะนำไปทำระบบสูบส่งขนาดใหญ่ได้
ส่วนน้ำบาดาลที่เจาะแล้วนั้นจะเป็นบ่อน้ำพุโซดาหรือไม่ ต้องรอให้เราเจาะให้ถึงจุดเสียก่อนเพราะขณะนี้เราเจาะได้เพียงแค่ 158 เมตรเท่านั้นจึงยังไม่สามารถตอบได้ว่าน้ำบริเวณนี้จะเป็นน้ำพุหรือไม่ หรือรอให้เจาะถึงระดับประมาณ 300-400 เมตรก่อนเราจึงจะสามารถนำมาเทียบเคียงกันได้