กาญจนบุรี - ชาวบ้านบุกพิสูจน์ชิมน้ำบาดาล รับคล้ายโซดาจริง ขอบคุณอธิบดีกรมน้ำบาดาล เหมือนเทวดาลงมาโปรด ชาวตำบลห้วยกระเจา หลังชาวบ้านประสบปัญหาภัยแล้งมานาน ด้านเจ้าของที่ดิน เผยเสียสละที่ไม่ถึงไร่ แต่ช่วยเพื่อนบ้านได้หลายพันคน ถือว่าคุ้ม
จากกรณีนายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล มอบหมายให้นายเกรียงศักดิ์ ภิระไร ผู้อำนวยการสำนักสำรวจและประเมินศักยภาพน้ำบาดาล น.ส.อัคปศร อัคราช ผู้อำนวยการส่วนวิจัยและพัฒนางานสำรวจน้ำบาดาล พร้อมทีมงานลงพื้นที่สำรวจพื้นที่เจาะบ่อน้ำบาดาลเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนในพื้นที่ ต.ห้วยกระเจา อ.ห้วยกระเจา จ.กาญจนบุรี ที่มีอยู่ทั้งหมด 21 หมู่บ้าน ตลอดเวลานายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ได้ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าในการสำรวจพื้นที่ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง
ในที่สุดสามารถเจาะบาดาลในพื้นที่หมู่ 12 บ้านพะยอมงาม ได้ จำนวน 4 บ่อ ปริมาณน้ำที่พัฒนาได้ จำนวน 52 ลบ.ม./ชม. และที่หมู่ 19 บ้านทุ่งคูณ อีกจำนวน 2 บ่อ ปริมาณน้ำที่พัฒนาได้ 66 ลบ.ม./ชม.คิดปริมาตรรวม 1,700,000 กว่า ลบ.ม./ปี ประชากรจะได้รับประโยชน์ จำนวน15 หมู่บ้าน 7,000 กว่าครัวเรือน พื้นที่เกษตร 6,000 ไร่
เมื่อวันที่ 10 ก.พ.64 ที่ผ่านมา นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล พร้อมด้วย พร้อมด้วย นายเกรียงศักดิ์ ภิระไร ผู้อำนวยการสำนักสำรวจและประเมินศักยภาพน้ำบาดาล กรมทรัพยากรน้ำบาดาล กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กรมทรัพยากรน้ำบาดาล ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าการขุดเจาะบ่อบาดาลในพื้นที่หมู่ 12 และหมู่ 19 อีกครั้งหนึ่ง
ในครั้งนี้ได้สร้างความฮือฮาให้แก่ชาวอำเภอห้วยกระเจา รวมทั้งชาวจังหวัดกาญจนบุรี และคนไทยทั่วประเทศเป็นอย่างมาก เนื่องจากพบว่า 1 ใน บ่อบาดาลที่เจาะลึกลงไป 303 เมตร ที่อยู่ในพื้นที่หมู่ 19 บ้านทุ่งคูณ นั้นมีรสชาติเหมือนน้ำดื่มที่ใสสะอาดทั่วไป อีกทั้งมีรสซ่าคล้ายกับโซดา ตามที่ได้มีกระแสข่าวไปแล้ว
ล่าสุด วันนี้ (11 ก.พ.) ผู้สื่อข่าวได้เดินทางลงพื้นที่บริเวณเจาะบ่อบาดาลดังกล่าว ที่ตั้งอยู่ริมถนนสาย 3363 หมู่ 19 บ้านทุ่งคูณ ต.ห้วยกระเจา อ.ห้วยกระเจา จ.กาญจนบุรี เมื่อไปถึงพบเจ้าหน้าที่ทีมเจาะบาดาลกำลังทำงานกันอย่างขะมักเขม้น โดยมีชาวบ้านที่ทราบข่าวเดินทางมาเยี่ยมชมพร้อมกับชิมน้ำที่พุ่งออกมาจากบ่อกันอย่างต่อเนื่อง ทำให้บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก
กลุ่มชาวบ้านที่ทดลองชิมต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า รสชาติของน้ำคล้ายกับโซดาจริง แต่ซ่าแบบโซดาค้างคืนที่ไม่ได้แช่เย็น หากจะนำไปผสมเครื่องแอลกอฮอล์ก็น่าจะใช้ได้แต่ก็คงจะไม่เหมือนกับโซดาที่แช่เย็น ทั้งนี้ทุกคนรู้สึกตื่นเต้นกันเป็นอย่างมาก และคาดว่าหลังจากที่ชาวบ้านหรือประชาชนนอกพื้นที่ว่างเว้นจากการทำบุญวันตรุษจีนแล้วเสร็จ จะมีผู้ทยอยเดินทางมาเยี่ยมชมและชิมน้ำที่บ่อบาดาลบ่อดังกล่าวเป็นจำนวนมกอย่างแน่นอน
นายสิริพงศ์ สืบเนียม อดีตนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลห้วยกระเจา เปิดเผยว่า พื้นที่ตำบลห้วยกระเจามีทั้งหมด 21 หมู่บ้าน โดยในพื้นที่เกิดความแห้งแล้งซ้ำซากมาเป็นระยะเวลาที่ยาวนายหลายชั่วอายุคน สำหรับโครงการที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ต้องขอขอบคุณท่านอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ท่านศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ ซึ่งท่านเหมือนเทวดามาโปรดพวกเราชาวตำบลห้วยกระเจา
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 9 ม.ค.ท่านอธิบดีฯ ได้ลงพื้นที่ด้วยตนเอง ซึ่งตนได้นำพาสำรวจพื้นที่เจาะบาดาลทั้ง 21 หมู่บ้าน ซึ่งท่านพบว่าพื้นที่ตำบลห้วยกระเจานั้นมีความแห้งแล้งจริง แต่หลังจากที่ท่านกลับไปได้ประมาณ 3-4 วันก็มีเจ้าหน้าที่ชุดสำรวจกรมน้ำบาดาล มาจากจังหวัดสุพรรณบุรี ลงพื้นที่มาสำรวจหาจุดเจาะบาดาลอีกประมาณ 2 อาทิตย์ พบว่าพื้นที่บริเวณนี้สามารถเจาะบาดาลได้
บ่อแรกที่เจาะลงไปลึกประมาณ 285 เมตร ได้น้ำ 35 คิว บ่อที่ 2 ที่เกิดปรากฏการณ์น้ำมีรสชาติคล้ายโซดา เจาะลึกลงไป 303 เมตร ครั้งแรกน้ำภายในบ่อยังมีสภาพนิ่ง แต่ระหว่างที่เจ้าหน้าที่กำลังนำอุปกรณ์มาตรวจสอบว่าจะได้ปริมาณน้ำประมาณเท่าไหร่ แต่อยู่ๆ น้ำก็พุ่งขึ้นมาเป็นน้ำพุอย่างที่เห็น ทุกคนที่เห็นต่างก็รู้สึกมหัศจรรย์ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร และหลังจากนี้ไปเชื่อปริมาณน้ำที่มีจะช่วยแก้ปัญหาภัยแล้งให้แก่ชาวตำบลห้วยกระทั้ง 21 หมู่บ้านได้อย่างแน่นอน
ด้าน นายสุเวทย์ สินสถาพรพงศ์ อายุ 64 ปี อยู่บ้านเลขที่ 2 หมู่ 3 ต.ห้วยกระเจา อ.ห้วยกระเจา จ.กาญจนบุรี กล่าวว่า ตนรู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่กรมบาดาลมาเหลือชาวบ้านในครั้งนี้ ส่วนตนมีอาชีพทำไร่อ้อย มีอยู่ประมาณ 40 ไร่ ซึ่งจุดที่ขุดเจาะบาดาลเป็นที่ดินของตนที่ทำไร่อ้อยอยู่ โดยตนยินดีที่จะยกให้กรมบาดาลใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งตนเสียสละที่ดินไปเพียง 2 งานกว่า แต่สามารถช่วยชาวบ้านได้หลายพันคน ดังนั้นตนจึงมีความยินดีเป็นอย่างมาก เพราะชาวบ้านจะได้ไม่ต้องเดือดร้อนกับปัญหาภัยแล้งอีกต่อไป ซึ่งตนเสียผลประโยชน์จากการมอบที่ดินให้รัฐไม่ถึง 1 ไร่ แต่ประชาชนในพื้นที่ได้ประโยชน์หลายพันคนนั้นถือว่าคุ้ม