xs
xsm
sm
md
lg

เปิดแนวคิดนักธุรกิจรุ่นใหม่แหลมฉบัง พลิกบทเรียนโควิด-19 สร้างธุรกิจใหม่แบบยั่งยืน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



วิกฤตโควิด -19 ระลอก 2 ที่ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อภาคธุรกิจของไทยจนทำให้ผู้ประกอบการหลายรายต้องปรับแผนครั้งใหญ่เพื่อความอยู่รอดนับตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา จนในวันนี้หลายภาคส่วนที่ไม่สามารถข้ามผ่านวิกฤตไปได้ก็ต้องประกาศปิดตัวทั้งแบบชั่วคราวและถาวร โดยเฉพาะภาคธุรกิจท่องเที่ยวและบริการที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงตั้งแต่เมื่อครั้งการแพร่ระบาดในระลอกแรก

แต่แม้วิกฤตที่เกิดขึ้นอาจทำให้หลายผู้ประกอบการต้องจำใจโบกมือลายอมรับความพ่ายแพ้ แต่ก็ยังมีอีกหลายผู้ประกอบการที่ไม่ยอมถอดใจและพยายามดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อประคองตัวให้อยู่รอดรอวันฟ้าใหม่ที่สถานการณ์จะกลับมาคลี่คลายอีกครั้ง


นักธุรกิจหนุ่มวัย 39 ปีในเขต ต.แหลมฉบัง อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี เป็นอีกผู้หนึ่งที่เปิดใจกับ “manager online” ว่าผลกระทบที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั้งในระลอกแรกและระลอกที่ 2 ได้ทำให้ธุรกิจของตนเองได้รับความเดือดร้อน เนื่องจากเมื่อเกิดการแพร่ระบาดอย่างหนักสถานบันเทิงและสถานประกอบการกลางคืนทั้งในเขต ต.ทุ่งศุขลา และ ต.แหลมฉบัง ที่เป็นลูกค้าหลักในการสั่งซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลากหลายยี่ห้อที่ทางร้านเป็นตัวแทนจำหน่ายอยู่ก็มีอันต้องปิดตัวลง รายได้ที่เคยมีเป็นกอบเป็นกำก็มีอันต้องหลุดหาย

ธีรพงษ์ เอื้อจิรกาล หรือ เสี่ยพงษ์ เจ้าของร้านเสาวณีย์ค้าส่ง-ค้าปลีกแหลมฉบังตัวแทนจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รายใหญ่ในเขตแหลมฉบัง และยังเป็นผู้บริหารบริษัท จารุโรจน์ 2020 จำกัด ซึ่งดูแลธุรกิจอสังหาริมทรัพย์คือบุคคลที่ให้ความเห็นว่า โควิด-19 ไม่ใช่แค่เพียงแต่จะให้โทษเท่านั้น แต่ในแง่ของประโยชน์ก็มีเช่นกัน นั่นก็คือการสอนให้ตนเองได้รู้จักกับคำว่า “นิ่ง”และยังช่วยเปลี่ยนพฤติกรรมการลงทุนแบบบ้าระห่ำให้หันกลับมารู้จักรักษาตัวเองอยู่ในที่มั่น และก้าวเดินแบบช้าๆ เพื่ออยู่รอดในทุกวิกฤต


                   จากเด็กหนุ่มปากน้ำโพธิ์ สู่นักลงทุนมือใหม่ที่ประสบความสำเร็จในเวลาอันรวดเร็ว


เสี่ยพงษ์ บอกว่าตนเองจะไม่ใช่คนพื้นเพภาคตะวันออกโดยกำเนิด จึงไม่มีต้นทุนทางธุรกิจที่ดีเท่ากับนักลงทุนพื้นที่ แต่โชคชะตาที่พัดพาให้ได้มีโอกาสเข้ามาทำมากินใน จ.ชลบุรี และได้อยู่ในภูมิภาคที่มีความเติบโตทางเศรษฐกิจสูงเป็นอันดับที่ 2 รองจากกรุงเทพฯ เกิดจากเมื่ออายุได้เพียง 18 ปี ที่ในวันนั้น “เตี่ย”ซึ่งเข้ามาบุกเบิกธุรกิจค้าข้าวใน ต.แหลมฉบัง ตามการเกิดขึ้นของโครงการอีสเทิร์นซีบอร์ด ได้เสียชีวิตอย่างกระทันหันจากโรคประจำตัว

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ทำให้เป้าหมายชีวิตของเด็กหนุ่มวัย 18 ปีจากโรงเรียนชายปากน้ำโพธิ์ จ.นครสวรรค์ ที่มีความใฝ่ฝันอยากจะประกอบอาชีพวิศวกร หลังเอ็นทรานซ์ติดคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ได้สำเร็จ แต่สุดท้ายกลับไม่ได้เดินทางไปรายงานตัวจนถูกตัดสิทธิ์ไม่ให้เข้ารับการศึกษาต่อ และต้องหันมาสานต่อธุรกิจค้าข้าวที่ เตี่ย บุกเบิกไว้



“เตี๋ย ผมเป็นตึ่งนั้งพูดภาษาจีนได้ก็เลยมาซื้อข้าวที่พนัสนิคม อ่าวอุดมและเมืองชลบุรี ขายให้กับแคมป์คนงานก่อสร้างที่ในสมัยนั้นมีจำนวนมากเพราะใครต่อใครก็พากันหลั่งไหลมาทำงานในโครงการอีสเทิร์นซีบอร์ด ที่ว่ากันว่าในช่วงนั้นไม่ว่าทำอะไรก็ได้เงินไปหมด หันขวาก็ได้เงิน หันซ้ายก็ได้เงิน นั่งเฉยๆ เงินยังหล่นมาใส่เลย”



ที่สำคัญคำสอนของครอบครัวที่ว่าการทำธุรกิจหากมีโชคแต่ไม่มีความกล้าทุกอย่างก็จบ ทำให้ตนเองต้องจำใจทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนเดินทางมาสานต่อธุรกิจของ เตี่ย ที่ จ.ชลบุรี ซึ่งถือเป็นการเดินทางออกนอกพื้นที่แบบหลังชนฝาที่ไม่มีเงินถุงเงินถังติดตัวมา แต่เพราะความเป็นคนกล้าได้กล้าเสียจึงทำให้ธุรกิจค้าข้าวที่เข้ามารับงานต่อเดินไปได้ด้วยดี

“พอธุรกิจค้าข้าวเข้าที่ผมก็ตัดสินใจกู้เงินจากธนาคารที่เดียว 30 ล้านบาทเพื่อขยายตลาดค้าข้าวและขายของชำด้วยการเช่าแผงเปิดขายเป็นเรื่องเป็นราวในตลาดสี่มุมเมืองแหลมฉบัง ใช้ชีวิตกินนอนอยู่ในตลาดมากกว่าอยู่บ้านนานถึง 4 ปี อยู่กับพ่อค้า-แม่ค้าจนสนิทคุ้นเคยกันและชีวิตก็เริ่มประสบความสำเร็จเมื่อก่อนรถปิ๊กอัพ 4ประตูราคา 7แสนคิดว่าจะเอาเงินที่ไหนมาซื้อ คิดว่าถ้ามีเงินล้านแล้วจะหยุด แต่เอาเข้าจริงวันนี้มีเงิน 10 ล้านยังไม่พอจะลงทุนเลย ”


เมื่อธุรกิจค้าข้าวและของชำประสบผลสำเร็จ เสี่ยพงษ์ เริ่มหาสินค้าตัวใหม่มาขายหลังได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มเพื่อนฝูงให้เปิดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลากหลายยี่ห้อจนได้เป็นตัวแทนจำหน่ายรายใหญ่ในเขตทุ่งศุขลาและแหลมฉบัง มีลูกค้าหลักทั้งผับ บาร์และสถานบริการกลางคืนทุกร้านด้วยเพราะศักยภาพที่สามารถสนับสนุนการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายให้กับลูกค้าได้จนกลายเป็นที่ยอมรับและมีลูกค้าประจำ มากมาก

ไม่เท่านั้นยังเปิดบริษัทเพื่อดำเนินธุรกิจด้านอสังริมทรัพย์ ทั้งโครงการพัฒนาที่ดินขาย รับฝากที่ดินที่สร้างจนสามารถรายได้เฉลี่ยต่อเดือนถึงหลักแสนบาท



“ แต่พอโควิด-19 ระลอกแรกมาตูมเดียวทุกอย่างหยุดเลย เหตุการณ์ในครั้งนั้นเปลี่ยนความคิดผมเลยจนต้องกลับมาคิดใหม่ว่าได้แค่นี้ก็เอาแล้ววะ โควิด-19 มันสอนให้ผมรู้ว่าต้องนิ่งเข้าไว้ เมื่อก่อนไม่ได้เลยปรี๊ดเลยมีแต่คำว่าต้องได้ ซึ่งโควิด-19 รอบแรกที่ต้องเจอกับการประกาศล็อกดาวน์จังหวัด ทำให้ผมต้องเริ่มมองหาธุรกิจตัวใหม่ที่จะสามารถอยู่รอดได้แม้เกิดวิฤตใดๆ ขึ้นโดยเฉพาะหากเกิดการแพร่ระบาดในรอบที่สอง”

เสี่ยพงษ์ บอกว่าตนเองใช้เวลาอยู่นานหลายเดือนก่อนจะคิดออกว่าธุรกิจที่สามารถเลี้ยงตัวเองและลูกน้องได้ไม่ว่าจะเกิดวิกฤตใดๆ ก็คือการผลิตน้ำดื่มออกขายหลังมีประสบการณ์จากการเป็นเอเยนต์ส่งน้ำดื่มหลายยี่ห้อให้กับลูกค้า ที่สำคัญยังได้รู้ว่าตลาดน้ำดื่มในภาคตะวันออก ยังสามารถขยายตัวได้อีกมากจากการเป็นเมืองท่องเที่ยว และมีสถานบริการต่างๆ รวมถึงร้านอาหารเป็นจำนวนมาก 

โดยเฉพาะ จ.ชลบุรี พื้นที่เดียวแม้จะมีโรงงานผลิตน้ำดื่มมากกว่า 200 โรง ก็ยังไม่สามารถผลิตน้ำดื่มได้เพียงพอต่อความต้องการโดยเฉพาะในช่วงที่เกิดโรคระบาดที่ทำให้ผู้คนไม่กล้าออกจากบ้าน


ที่สำคัญตนเองยังมีข้อได้เปรียบจากการเป็นตัวแทนจำหน่ายน้ำดื่มหลายยี่ห้อจึงได้รู้ทั้งข้อดีและข้อเสียของสินค้าแต่ละแบรนด์ และยังมีฐานตลาดที่เป็นกลุ่มลูกค้าที่รับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่สามารถรองรับสินค้าใหม่ในเครือได้ขอเพียงแต่สินค้าที่จะทำออกขายจะต้องดีและมีคุณภาพเท่านั้น


“ ในครั้งแรกยังไม่รู้เลยว่าขั้นตอนการผลิตต้องทำอย่างไร ต้องกรองน้ำแบบไหน แต่เพราะความที่มีพรรคพวกเยอะจึงได้คำแนะนำที่หลากหลายซึ่งจริงๆแล้วขั้นตอนการผลิตและวัตถุดิบไม่ยากเย็นอะไรแต่สิ่งสำคัญคือการหาแหล่งน้ำที่เพียงพอ ซึ่งเราใช้น้ำจากการประปาและน้ำบาดาล จากนั้นก็เดินหน้าหาเครื่องจักรสำหรับผลิตขวดและหัวจ่าย ใช้เวลาประมาณครึ่งปีก็เริ่มเดินหน้าผลิตรวมทั้งดำเนินการขอใบรับรองคุณภาพน้ำ รับรองคุณภาพโรงเรือน –ความสะอาด การแต่งกายของพนักงาน รวมทั้งการตรวจสอบน้ำดื่มก่อนบรรจุจนครบทั้งหมด ”

โดยครั้งแรกของการเปิดตัวสินค้า เสี่ยพงษ์ เลือกที่จะใช้พื้นที่หน้าร้านเสาวณีย์ เป็นที่เวางขายน้ำดื่ม “ตราเสาวณีย์”พร้อมจัดโปรโมชั่นขายยกแพคในราคาที่ถูกกว่าแบรนด์อื่นๆ เพื่อดึงดูดความสนใจของลูกค้าจนสร้างความเชื่อมั่นใจได้ว่าคุณภาพดีสามารถทำตลาดได้จึงเริ่มนำส่งขายให้กับลูกค้าประจำ

กระทั่งเกิดวิกฤตโควิด-19 ระลอก 2 ที่ทำให้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่สร้างรายได้ให้มากมายมีอันต้องขายไม่ออก เพราะธุรกิจกลางคืนต้องปิดบริการแต่สิ่งที่สร้างความตื่นเต้นให้มากกว่าคือน้ำดื่มแบรนด์ “เสาวณีย์” กลับทำยอดขายต่อเดือนได้มากถึงหลักแสนขวด





โดยจุดเด่นของน้ำดื่ม “ตราเสาวณีย์” คือการนำจุดดีของน้ำดื่มทุกยี่ห้อที่ตนเองเคยเป็นผู้จำหน่ายและเคยดื่มมาไว้ในแบรนด์ของตัวเอง ซึ่งการลงทุนในธุรกิจใหม่นี้ใช้เงินแค่หลักล้านบาทในการจัดซื้อหัวจ่ายที่เป็นระบบแมนนวล เพราะยังไม่กล้าใช้เงินลงทุนจำนวนมากเนื่องจากยังไม่รู้กระแสตอบรับของตลาด


แต่เมื่อได้รับความไว้ใจให้จากคู่ค้าที่ยอมรับว่าน้ำดื่มตราเสาวณีย์ เป็นสินค้าที่ดีและมีคุณภาพทั้งยังให้โอกาสคู่ค้าที่ไม่มีเงินลงทุนด้วยการใช้ระบบการวางสินค้าให้ก่อนแล้วค่อยเก็บเงินในบิลต่อไป จึงทำให้ตลาดการค้าเติบโตขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังได้ลูกค้าใหม่เป็นชาวบ้านในพื้นที่ที่พร้อมเปิดพื้นที่หน้าบ้านวางขาย

“ น้ำ เป็นสิ่งที่คนเราต้องกินบางคนมีหน้าบ้านไม่มีเงินลงสินค้าเราก็ให้สินค้าไปก่อนเลยแล้วค่อยเก็บเงินที่หลังทำในวันนี้เฉพาะแค่เขต ต.ทุ่งสุขลาและแหลมฉบัง เรามียอดลงน้ำต่อเดือนมากถึงแสนขวด ซ้ำยังสามารถแบ่งไปช่วยเหลือส่วนราชการและเจ้าหน้าที่ที่ต้องออกหน่วยคัดกรองโควิด-19 ได้ด้วย จนทำให้หลยคนแซวว่าผมทำน้ำแจกมากกว่าขาย แต่จริงไม่ใช่เช่นนั้นเพราะผมมองว่าเป็นการช่วยเหลือกันเนื่องจากวันนี้ทุกคนเดือดร้อนหมด และยังคิดได้อีกว่าในวันนี้ผลประกอบการจะเต็มร้อยเหมือนเดิมไม่ได้ วิกฤตที่เกิดขึ้นหากยืนเฉยๆ แล้วได้ 50 ผมถือว่าดีแล้ว”





เสียพงษ์ ปิดท้ายว่าในอีกไม่กี่สัปดาห์นี้ บริษัทฯ กำลังจะได้เครื่องผลิตบล็อกขวดจากประเทศจีน และเครื่องผลิตน้ำดื่มอัตโนมัติที่สั่งทำจาก จ.อุดรธานี ซึ่งหาก 2 เครื่องจักรนี้มาถึงโรงงานที่ตั้งอยู่ในเขตแหลมฉบัง ก็จะเพิ่มกำลังผลิตน้ำจากเดิมได้มากถึง 2,500 ขวดต่อชั่วโมง

 และจะสามารถลดต้นทุนดำเนินการจน สามารถขายน้ำดื่มแบบยกแพคได้เพียงราคา 20 บาทซึ่งจะทำให้ประชาชนได้น้ำดื่มที่ดีมีคุณภาพในราคาถูก ถือเป็นการลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนอีกด้วย

แม้ตลาดน้ำดื่ม "ตราเสาวณีย์ง จะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีในเวลาเพียง 3 เดือน แต่เสี่ยพงษ์ ก็ยังไม่พร้อมที่จะขยายการลงทุนใหญ่เพราะมั่นใจว่าจนถึงปีหน้ากำลังซื้อของประเทศไทยและทั่วโลกก็ยังไม่ฟื้น เพียงแต่ผู้ประกอบการจะต้องลุกขึ้นสู้และช่วยตัวเองไปก่อน อย่ารอและหวังเพียงการเยียวยาจากภาครัฐ 





ที่สำคัญไม่ควรทำสิ่งผิดกฎหมาย เพราะการผิดกฎหมายจะได้เงินเร็วแต่ผลตอบกลับก็แรงไม่น้อยไปกว่ากัน วันนี้ขอเพียงผู้ประกอบธุรกิจจะต้องค่อยๆ เดินเพื่อให้เลี้ยงตัวเองและลูกน้องให้ได้ก่อนเท่านั้น






กำลังโหลดความคิดเห็น