เชียงใหม่ - ดีเอสไอ ปปง. พร้อมตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ขยายผลยึดทรัพย์หอพักมูลค่ากว่า 24 ล้านบาทย่านแม่โจ้ เครือข่ายโกงสหกรณ์ออมทรัพย์สโมสรรถไฟ พบอดีตผู้บริหารฯ นำเงินจากการทุจริตเข้าร่วมลงทุน
ตามที่ พันตำรวจโท กรวัชร์ ปานประภากร อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้มอบหมายให้ พันตำรวจโท สมบูรณ์ สาระสิทธิ์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในฐานะรองอธิบดีที่กำกับดูแลศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินทางอาญา สั่งการให้ นายระวี อักษรศิริ ผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินทางอาญา นายธวัชชัย รัตนปรีชาชัย รองผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินทางอาญาและในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวน ดำเนินการต่อบุคคลที่กระทำความผิดในสหกรณ์ออมทรัพย์สโมสรรถไฟ ตามเลขสืบสวนที่ 278/2563
วันนี้ (7 ม.ค. 64) นายธวัชชัย รัตนปรีชาชัย รองผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินทางอาญา 1 นายจินกร แก้วศรี รองผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินทางอาญา 2 นายพงษ์ธวัช อ่วมสำอางค์ ผู้อำนวยการส่วนคดีการฟอกเงินทางอาญา 3 และคณะ ร่วมกับ นายสุวิจักขณ์ ธรรมชัยพจน์ ผู้อำนวยการกองคดี 1 สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และคณะ และตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ นำโดย พลตำรวจตรี พิเชษฐ จีระนันตสิน ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ และ พันตำรวจเอก นพฤทธิ์ กันทา ผู้กำกับการสืบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ ได้ร่วมกันนำคำสั่งยึดทรัพย์สินของคณะกรรมการธุรกรรมที่ ย 125/2563 ติดประกาศ ณ อาคารเลขที่ 283 หมู่ 9 ตำบลหนองหาร อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ ตามคำสั่งยึดทรัพย์ลำดับที่ 76 ประเภทหอพัก โฉนดที่ดิน เลขที่ 68805 เลขที่ดิน 2092 ตำบลหนองหาร อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่
โดยในการติดประกาศยึดทรัพย์สิน พบนายประจวบ นาคำ เป็นเจ้าของกรรรมสิทธิ์ร่วมกลุ่มผู้ต้องหา จึงแจ้งคำสั่งคณะกรรมการธุรกรรมให้ทราบและห้ามมิให้มีการจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินดังกล่าว ทั้งนี้ จากการประกาศยึดทรัพย์สิน เป็นลักษณะอาคาร 3 ชั้น ชื่อ คีรียาเพลส จำนวน 54 ห้อง ให้เช่าห้องละ 2,500-2,800 บาท มูลค่าทรัพย์สินจำนองรวมประมาณ 24.3 ล้านบาท โดยขออนุญาตประกอบกิจการผู้ให้เช่าหอพักชาย-หญิง ซึ่งจากการสืบสวนพบว่าในปี 2558 อดีตกรรมการสหกรณ์ที่ถูกกล่าวหาได้นำเงินที่ได้จากการทุจริตสหกรณ์สโมสรรถไฟไปจดทะเบียนแบ่งกรรมสิทธิ์รวม โดยมีค่าตอบแทนในที่ดินแปลงดังกล่าว ทั้งนี้ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินจะได้ทำการยึดเพื่อดำเนินการบริหารจัดการทรัพย์สิน และดำเนินการให้ศาลแพ่งมีคำพิพากษายึดทรัพย์ต่อไป
ทั้งนี้ ในการบูรณาการปฏิบัติการร่วมกัน กรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เห็นว่าเป็นมาตรการที่ก่อให้เกิดประโยชน์ในการบังคับใช้กฎหมายและสร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชน อีกทั้งเพื่อให้คำสั่งยึดทรัพย์สินของคณะกรรมการธุรกรรมที่ ย 125/2563 สัมฤทธิผลในทางปฏิบัติและได้ทรัพย์สินคืนให้ผู้เสียหายโดยเร็ว ทั้งยังขยายผลไปยังเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งผลประโยชน์ทางธุรกิจ ซึ่งถือเป็นดอกผลที่สามารถดำเนินการกับทรัพย์สินได้อีกทางหนึ่ง และยังสนองตอบต่อปัญหาการทุจริตและนำทรัพย์ที่ได้จากการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน คืนให้แก่ผู้เสียหาย กรมสอบสวนคดีพิเศษ และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินจะเร่งรัดติดตามทรัพย์และบุคคลที่เกี่ยวข้องมาดำเนินการตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 อย่างเด็ดขาดต่อไป