MGR Online - ดีเอสไอ-ปปง.-ตร.เชียงใหม่ ตามอายัดอาคารหอพัก 3 ชั้น อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ พบเกี่ยวโยงอดีตผู้บริหารทุจริตเงินสหกรณ์ออมทรัพย์สโมสรรถไฟ นำมาร่วมลงทุน
วันนี้ (7 ม.ค.) พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้มอบหมายให้ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินทางอาญา ดีเอสไอ ดำเนินการกับบุคคลที่กระทำความผิดในสหกรณ์ออมทรัพย์สโมสรรถไฟ ตามเลขสืบสวนที่ 278/2563 โดยร่วมกับ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.), บก.ภ.จว.เชียงใหม่ และ กก.สส.ภ.จว.เชียงใหม่ นำคำสั่งยึดทรัพย์สินของคณะกรรมการธุรกรรมที่ ย 125/2563 ติดประกาศ ณ อาคารเลขที่ 283 หมู่ 9 ต.หนองหาร อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ ตามคำสั่งยึดทรัพย์ลำดับที่ 76 ประเภทหอพัก โฉนดที่ดิน เลขที่ 68805 เลขที่ดิน 2092 ต.หนองหาร อ.สันทราย จ.เชียงใหม่
พ.ต.ท.กรวัชร์เผยว่า ในการติดประกาศยึดทรัพย์สิน พบนายประจวบ นาคำ เป็นเจ้าของกรรรมสิทธิ์ร่วมกลุ่มผู้ต้องหา จึงแจ้งคำสั่งคณะกรรมการธุรกรรมให้ทราบและห้ามมิให้มีการจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินดังกล่าว ทั้งนี้ จากการประกาศยึดทรัพย์สิน เป็นลักษณะอาคาร 3 ชั้น ชื่อคีรียาเพลส จำนวน 54 ห้อง ให้เช่าห้องละ 2,500-2,800 บาท มูลค่าทรัพย์สินจำนองรวมประมาณ 24.3 ล้านบาท โดยขออนุญาตประกอบกิจการผู้ให้เช่าหอพักชาย-หญิง จากการสืบสวนพบว่าในปี 2558 อดีตกรรมการสหกรณ์ที่ถูกกล่าวหาได้นำเงินที่ได้จากการทุจริตสหกรณ์สโมสรรถไฟไปจดทะเบียนแบ่งกรรมสิทธิ์รวม โดยมีค่าตอบแทนในที่ดินแปลงดังกล่าว ทั้งนี้ สำนักงาน ปปง.จะได้ทำการยึดเพื่อดำเนินการบริหารจัดการทรัพย์สิน และดำเนินการให้ศาลแพ่งมีคำพิพากษายึดทรัพย์ต่อไป
พ.ต.ท.กรวัชร์เผยอีกว่า การบูรณาการปฏิบัติการร่วมกันทั้งดีเอสไอ, ปปง. และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เห็นว่าเป็นมาตรการที่ก่อให้เกิดประโยชน์ในการบังคับใช้กฎหมายและสร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชน อีกทั้งเพื่อให้คำสั่งยึดทรัพย์สินของคณะกรรมการธุรกรรมที่ ย 125/2563 สัมฤทธิผลในทางปฏิบัติและได้ทรัพย์สินคืนให้ผู้เสียหายโดยเร็ว ยังขยายผลไปยังเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งผลประโยชน์ทางธุรกิจซึ่งถือเป็นดอกผลที่สามารถดำเนินการกับทรัพย์สินได้อีกทางหนึ่ง และยังสนองตอบต่อปัญหาการทุจริตและนำทรัพย์ที่ได้จากการกระทำความผิดฐานฟอกเงินคืนให้แก่ผู้เสียหาย ดีเอสไอและ ปปง.จะเร่งรัดติดตามทรัพย์และบุคคลที่เกี่ยวข้องมาดำเนินการตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 อย่างเด็ดขาดต่อไป