เชียงราย - ชมรมรักในหลวงเชียงรายรวมตัวย้ำจุดยืนปลอดการเมือง พร้อมประกาศเทิดทูน-ปกป้องสถาบัน ชี้คนจาบจ้วงได้ข้อมูลผิด เชื่อเวลาจะทำให้กลับใจได้
ชมรมรักในหลวง จ.เชียงรายได้รวมตัวสวมใส่เสื้อเหลืองและเสื้อสีชมพูเฉลิมพระเกียรติ ร่วมกันจัดกิจกรรม "ชาวเชียงรายรวมพลัง ปกป้องสถาบันฯ" ลานธรรม ลานศิลป์ ถิ่นพญามังราย ศาลากลาง จ.เชียงราย หลังแรก เมื่อเย็นที่ผ่านมาอย่างคึกคัก
โดยนายกนก วิศวกุล ประธานชมรมฯ พร้อมแกนนำ และเครือข่ายที่เข้าร่วมได้ทำพิธีถวายสักการะต่อเบื้องพระราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ ๕ และร้องเพลงชาติก่อนเปิดให้สมาชิกหลายคนได้ปราศรัยบอกเล่าถึงประสบการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับพระบารมีทั้งใน และต่างประเทศ
จากนั้นนายกนกได้อ่านแถลงการณ์ที่มีเนื้อหาว่าปัจจุบันมีบุคคลและกลุ่มบุคคลจำนวนหนึ่งซึ่งมีน้อยนิดเมื่อเปรียบเทียบกับคนไทยทั้งประเทศ ได้บังอาจจาบจ้วง หมิ่นพระบรมเดชานุภาพและอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี และรัชทายาท ซึ่งเป็นการทำผิดกฎหมายอย่างชัดเจน โจ่งแจ้งและรุนแรงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนตลอดระยะเวลาหลายศตวรรษ ทำให้ประชาชนที่จงรักภักดีและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่สามารถยอมรับและนิ่งดูดาย
ดังนั้น ชมรมฯ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมืองใดๆ จึงขอประณามและเรียกร้องให้กลุ่มคนดังกล่าวหยุดการกระทำ และเห็นด้วยที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมจะนำบทบัญญัติกฎหมายทุกมาตรามาบังคับใช้อย่างเคร่งครัดโดยยึดหลักนิติธรรม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมได้เคลื่อนขบวนไปยังพระบรมราชานุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช เพื่อประกอบพิธีจุดเทียนชัย ร่วมร้องเพลงสดุดีมหาราชา เพลงสรรเสริญพระบารมี ก่อนแยกย้ายกันกลับ นายกนกกล่าวว่า ชมรมฯ เราจัดตั้งที่เชียงรายมาได้นานประมาณ 5-6 ปีแล้ว ที่ผ่านมาแม้จะมีกิจกรรมรวบรวมสมาชิกได้ไม่เต็มที่แต่ก็มีคนเข้าร่วมกว่า 13,000 คน และครั้งนี้ก็มาแสดงพลังร่วมกันได้อย่างน่าภาคภูมิใจ
เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่คู่กับคนเชียงรายมาไม่น้อยกว่า 800 ปี เริ่มตั้งแต่ราชวงศ์โยนกนาคพันธุ์ที่มีพระมหากษัตริย์ 46 พระองค์ และราชวงศ์ลาวจักราช 25 พระองค์ โดยพระองค์สุดท้ายคือพ่อขุนเม็งรายมหาราช ก่อนที่พระองค์จะไปสร้างเมืองเชียงใหม่ รวมแล้วถึง 71 พระองค์ ต่อมาก็ถึงยุคพระเจ้าตากสินที่สามารถขับไล่พม่าออกไปและรวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งเดียวอย่างเบ็ดเสร็จ กระทั่งถึงยุครัตนโกสินทร์ตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาลที่ ๑๐ จึงทำให้พวกเราภาคภูมิใจและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ
“การที่กลุ่มคน ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นรุ่นลูกหลานได้ออกมาเคลื่อนไหวในทางที่จาบจ้วงล่วงละเมิด อาจเพราะได้ข้อมูลมาไม่ถูกต้อง พวกเราจะต้องอดทนในการทำความเข้าใจ ซึ่งผมเชื่อว่าในอนาคตลูกหลานจะเข้าใจต่อสถานการณ์ที่แท้จริงได้”
