กาจนจนบุรี - ผอ.สบอ.3 (บ้านโป่ง) กรมอุทยานฯ พร้อมด้วยหัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาแหลม โร่ขึ้นโรงพักทองผาภูมิ แจ้งจับนายทุนรุกที่อุทยานฯ ชี้คดีซับซ้อน เหตุได้ทนายเก่ง พร้องชงถึง DSI เข้าช่วย
วันนี้ (27 ต.ค.) นายนิพนธ์ จำนงสิริศักดิ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) เปิดเผยว่า ตนพร้อมด้วยนายเทวินทร์ มีทรัพย์ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาแหลม อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี เข้าพบพนักงานสอบสวน สภ.ทองผาภูมิ เพื่อนำหลักฐานแจ้งความดำเนินคดีต่อนายสมาน หงษ์เอี่ยม อยู่บ้านเลขที่ 197/1 หมู่ 11 ต.ท่าเสา อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี ในข้อหายึดถือ ครอบครองและกระทำด้วยประการใดๆ ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาแหลม โดยมิได้รับอนุญาต ตามนโยบายกระทรวงทรัพยากรฯ
โดยเหตุเกิดบริเวณพื้นที่หมู่ 2 ต.ชะแล อ.ทองผาภูมิ เนื้อที่จำนวน 1 ไร่ สิ่งปลูกสร้างที่เป็นรีสอร์ต จำนวน 4 หลัง ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวนั้นเดิมเป็นพื้นที่รีสอร์ต "กระท่อมริมธาร" ที่ทางหัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาแหลม เคยแจ้งความดำเนินคดี และทำการตรวจยึดเมื่อวันที่ 27 ก.ค.2559 โดยคดีอาญาดังกล่าวได้ถึงที่สุดแล้ว
นอกจากนี้ ยังได้แจ้งความดำเนินคดีต่อนายกิตติพงษ์ ต้นสมบูรณ์ เจ้าของรีสอร์ต "กระท่อมริมธาร" นางสมหวัง ต้นสมบูรณ์ มารดา และนางต้องตา ขันธวิธิ เพื่อนบ้าน ในข้อหาเป็นผู้ร่วมสนับสนุนในการกระทำผิดดังกล่าว ด้วย
นายนิพนธ์ เปิดเผยอีกว่า สาเหตุที่เข้าแจ้งความต่อกลุ่มบุคคลข้างต้นนั้น สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 17 ต.ค.2563 ที่ผ่านมา นายสมานพร้อมด้วยทนายความส่วนตัว ได้นำหนังสือสัญญาจะซื้อ จะขายสิ่งปลูกสร้างที่เป็นรีสอร์ตชื่อ "กระท่อมริมธาร" เลขที่ 8/7 หมู่ที่ 2 ตำบลชะแล อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ที่รุกที่เขตอุทยานแห่งชาติเขาแหลม มาแสดงต่อหัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาแหลม
พร้อมกับแจ้งว่า ตนได้ซื้อสิ่งปลูกสร้างที่เป็นรีสอร์ต "กระท่อมริมธาร" มาจากนายกิตติพงษ์ นางสมหวัง นางต้องตา และตกมาเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเองแล้วตั้งแต่วันที่ 2 เม.ย.2558 ที่สำคัญ นายสมาน พร้อมด้วยทนายความยังได้เดินชี้แนวเขตรังวัดพื้นที่ที่นายสมาน จะขออยู่อาศัยภายในพื้นที่รีสอร์ต "กระท่อมริมธาร" รวมเนื้อที่จำนวน 1ไร่ ภายในมีสิ่งปลูกสร้าง จำนวน 4 หลัง ที่นายสมาน อ้างว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ และจะขออนุญาตเช่าที่ดินกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
ตนในฐานะผู้อำนวยการสำนักบริหารอนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) และนายเทวินทร์ มีทรัพย์ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาแหลม ได้พิจารณาและเห็นพร้อมกันว่า ที่ดินรวมทั้งสิ่งปลูกสร้างทั้ง 4 หลัง เดินเป็นบ้านพักของรีสอร์ต "กระท่อมริมธาร" ที่เคยถูกจับกุมดำเนินคดีเมื่อวันที่ 27 ก.ค.2559
ต่อมา เมื่อวันที่ 31 พ.ค.60 ศาลจังหวัดทองผาภูมิ ได้มีคำพิพากษาว่านายกิตติพงษ์ เจ้าของรีสอร์ตมีความผิดฐานบุกรุก ยึดถือ ครอบครองอุทยานแห่งชาติเขาแหลม โดยมิได้รับอนุญาต รวมเนื้อที่ 2 ไร่ 2 งาน 80 ตารางวา ลงโทษจำคุก 6 เดือน และปรับเป็นเงินจำนวน 2 หมื่นบาท ส่วนโทษจำคุกให้รอลงอาญาเป็นเวลา 2 ปี และสั่งให้นายกิตติพงษ์ และบริวารออกจากพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาแหลม ซึ่งนายกิตติพงษ์ ไม่อุทธรณ์คดี จึงถือว่าคดีอาญาถึงที่สุดแล้ว
ขณะเดียวกัน หัวหน้าอุทยานแห่งเขาแหลม ได้ใช้มาตรการทางปกครอง ติดประกาศคำสั่งให้นาย กิตติพงษ์ พร้อมบริวาร รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างรีสอร์ต "กระท่อมริมธาร" ที่มีอยู่จำนวน 14 หลัง เป็นบ้านพักให้บริการ จำนวน 10 หลัง และศาลานั่งเล่นและโรงครัว รวม 4 หลัง ออกไปให้พ้นในเขตอุทยานแห่งชาติเขาแหลม ต่อมา วันที่ 17 ก.ย.2563 นายกิตติพงษ์ จำเลย ได้รื้อถอนบ้านพักไปแล้ว จำนวน 6 หลัง แต่หลังจากนายสมาน พร้อมด้วยทนายความ อ้างว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์สิ่งปลูกสร้างทำให้นายกิตติพงษ์ ไม่รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่เหลืออยู่อีกเลย
ดังนั้น การที่นายสมาน ได้ซื้อสิ่งปลูกสร้างรีสอร์ต "กระท่อมริมธาร" เมื่อปี พ.ศ.2558 ก่อนที่จะถูกดำเนินคดีในปี พ.ศ.2559 และถึงแม้นายสมาน จะอ้างว่าซื้อเฉพาะสิ่งปลูกสร้างโดยไม่ได้ซื้อที่ดินก็ตาม แต่สิ่งปลูกสร้างเป็นอสังหาริมทรัพย์ มีลักษณะตรึงตราถาวร ติดอยู่กับที่ดินอุทยานแห่งชาติเขาแหลม จึงเป็นส่วนควบของที่ดินอุทยานแห่งชาติเขาแหลม
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 144 และคำพิพากษาฎีกาที่ 892/2490 ได้วางบรรทัดฐานเอาไว้แล้วว่า สิ่งปลูกสร้างที่มีลักษณะตรึงตราถาวรในที่ดิน และปลูกสร้างในที่ดินของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต ย่อมเป็นส่วนควบของที่ดินนั้น จึงถือได้ว่า นายสมาน ซื้อสิ่งปลูกสร้างรีสอร์ต "กระท่อมริมธาร" ควบที่ดินอุทยานแห่งชาติเขาแหลมไปด้วย
จึงเป็นการกระทำผิดต่อกฎหมายอุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2562 มาตรา 19 (1 ) ห้ามมิให้ผู้ใด ยึดถือ ครอบครองหรือกระทำประการใดๆ ในเขตอุทยานแห่งชาติ โดยมิได้รับอนุญาต ระวางโทษจำคุก 4-20 ปี ปรับตั้งแต่ 400,000-2,000,000 บาท หรือทั้งจำและปรับ
ประกอบกับนายสมาน พร้อมด้วยทนายความ ยังได้มาแสดงตัว และชี้แนวเขตเพื่อทำการรังวัดในที่ดิน จำนวน 1 ไร่ อีกทั้งยังอ้างเป็นผู้ถือสิทธิสิ่งปลูกสร้าง จำนวน 4 หลัง ที่ยังไม่ได้รื้อถอน ซึ่งเป็นส่วนควบของที่ดินอุทยานแห่งชาติเขาแหลม การกระทำดังกล่าวยิ่งแสดงเห็นได้ชัดเจนว่านายสมาน มีเจตนาอย่างชัดแจ้งในการยึดถือ ครอบครอง หรือกระทำด้วยประการใดๆ ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาแหลม โดยมิได้รับอนุญาต
นายนิพนธ์ เปิดเผยอีกว่า ส่วนนายกิตติพงษ์ รวมทั้งนางสมหวัง และนางต้องตา ต่างก็รู้อยู่แล้วว่า ตนเองไม่มีเอกสารกรรมสิทธิ์ หรือสิทธิครอบครองตามกฎหมายในเขตอุทยานแห่งชาติเขาแหลม โดยเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเขาแหลม ได้ประกาศจัดตั้งในราชกิจจานุเบกษาเมื่อปี พ.ศ.2534 และได้ปิดประกาศแจ้งให้ประชาชนในท้องถิ่นทราบโดยทั่วไปแล้ว จึงถือได้ว่าบุคคลทั้ง 3 คนรู้แล้วว่าสิ่งปลูกสร้างรีสอร์ต "กระท่อมริมธาร" อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาแหลม เทียบเคียงคำพิพากษาฎีกา ที่ 3009/2537
แต่ยังได้ทำหนังสือสัญญาขายสิ่งปลูกสร้างรีสอร์ต "กระท่อมริมธาร" ให้แก่นายสมาน ทำให้นายสมาน มีข้ออ้างในการเข้ามายึดถือ ครอบครอง หรือกระทำด้วยประการใดๆ ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาแหลม ในบริเวณดังกล่าวได้ จึงถือว่าบุคคลทั้งสาม เป็นผู้ร่วมสนับสนุนในการกระทำผิด ระวางโทษ 2 ใน 3 สำหรับความผิดที่ได้สนับสนุนนั้น
สำหรับคดีนี้ตน และหัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาแหลม มองว่าเป็นคดีที่มีความซับซ้อนทางด้านกฎหมายเป็นอย่างมาก อีกทั้งกลุ่มผู้กระทำผิดมีทนายความที่ชำนาญด้านกฎหมายคอยแนะนำและช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา ดังนั้น หากเป็นไปได้ต้องการส่งเรื่องถึง DSI เพื่อให้ทางอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI ส่งผู้เชี่ยวชาญมาช่วยสอบสวนในคดีนี้ด้วย ส่วนจะรับเป็นคดีพิเศษหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของหน่วยงาน DSI
แต่อย่างไรก็ตาม ตนในฐานะผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) และนายเทวิทนทร์ มีทรัพย์ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาแหลม จะต่อสู้คดีกับกลุ่มนายทุนเหล่านี้ถึงที่สุด เพื่อปกป้องรักษาไว้ซึ่งทรัพยากรสมบัติของชาติ ให้คงอยู่เพื่อชาวไทยและลูกหลานรุ่นหลังสืบไป