เชียงใหม่ - หนุ่มขับแกร็บคาร์เชียงใหม่โร่ขึ้นโรงพักแจ้งความโดนขู่เอาเงิน 3.5 หมื่น หลังรับลูกค้าอ้างว่าไม่มีเงินสดติดตัวขอใช้บัญชีธนาคารรับโอนเงินจำนวนดังกล่าวจากเพื่อนจ่ายค่าโดยสาร จนเกิดเรื่อง หวั่นเป็นมิจฉาชีพรีดไถ หรือหลอกฟอกเงิน ยืนยันความบริสุทธิ์ พร้อมหวังเป็นอุทาหรณ์เตือนภัยสังคม
วันนี้ (7 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจาก นายสรพงษ์ (นามสมมติ) อายุ 30 ปี อาชีพรับจ้าง และขับรถแกร็บคาร์เป็นอาชีพเสริม ที่จังหวัดเชียงใหม่ว่า หวั่นเกรงว่าจะตกเป็นเหยื่อของแก๊งรีดไถหรือฟอกเงินผิดกฎหมาย หลังจากที่ได้รับผู้โดยสารเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่เรียกใช้บริการผ่านแอปพลิเคชัน แล้วอ้างว่าไม่มีเงินสดติดตัวเพื่อจ่ายค่ายโดยสาร 400 บาท และขอให้ใช้บัญชีธนาคารของนายสรพงษ์ รับโอนเงินจากเพื่อน จึงยินยอมและปรากฏว่ามีการโอนเงินเข้ามา 35,000 บาท ซึ่งได้เบิกจากตู้เอทีเอ็มมอบให้ผู้ชายคนดังกล่าว จากนั้นได้ส่งผู้โดยสารที่จุดหมาย พร้อมกับแลกเบอร์โทรศัพท์เผื่อเรียกใช้บริการอีก และสัปดาห์ต่อมา ผู้โดยสารคนดังกล่าวได้โทรศัพท์มาพูดคุยด้วย พร้อมกับมีประโยคที่ชวนสงสัยกับคำว่า "ซุกเงิน" แล้วเงียบหายไป จนกระทั่งล่าสุด มีคนโทรศัพท์และส่งข้อความมาทวงเงิน จำนวน 35,000 บาท โดยอ้างว่าเป็นเงินโอนเข้าบัญชีตัวเองเพื่อซื้อพระเครื่อง แต่ไม่ได้รับพระและต้องการเงินคืน หากโอนเงินให้จะไม่เอาเรื่อง ซึ่งมีผู้ชายอ้างตัวว่าเป็นตำรวจโทรศัพท์มาด้วยและบอกว่ามีการแจ้งความไว้ที่จังหวัดยะลา ซึ่งตัวเองทั้งงุนงง และหวาดกลัวกับเรื่องที่เกิดขึ้น จึงเข้าแจ้งความที่สถานีตำรวจไว้เป็นหลักฐานเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจแล้ว
ทั้งนี้ นายสรพงษ์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 24 ก.ย. เวลาประมาณ 09.20 น. มีผู้โดยสารเรียกใช้บริการผ่านแอปพลิเคชัน โดยไปรับที่ริมถนนหน้าธนาคารกสิกรไทย ฝั่งตรงข้ามตลาดธานินทร์ ซึ่งผู้โดยสารเป็นผู้ชายได้ตกลงขอเหมาให้ไปส่งทำธุระ 2 ชั่วโมง ในราคา 400 บาท จากนั้นตัวเองได้ขับไปส่งจุดแรกที่วัดสวนดอก และรอประมาณ 10-15 นาที พอออกจากวัด ผู้โดยสารอ้างว่า ไม่มีเงินสดติดตัวเพื่อจ่ายค่าโดยสารและขอให้ใช้บัญชีธนาคารของตัวเองรับโอนเงินจากเพื่อนเพื่อจ่ายค่าโดยสาร ตัวเองจึงยินยอม และจอดรถแวะเบิกเงินจากตู้เอทีเอ็มในปั๊มน้ำมันข้างวัดโลกโมฬี โดยเวลานั้นรู้สึกแปลกใจเหมือนกันเพราะปรากฏว่ามีเงินโอนเข้าบัญชีตัวเองมากถึง 35,000 บาท ซึ่งได้เบิกออกมาให้ผู้โดยสารที่รออยู่ในรถ โดยผู้โดยสารได้รับเงินไป และจ่ายค่าโดยสารให้ตัวเอง 400 บาท พร้อมกับทิป 100 บาท รวมเป็น 500 บาท จากนั้นได้พาผู้โดยสารไปส่งทำธุระที่ตลาดวโรรส และจอดรอประมาณ 10-15 นาที แล้วรับไปส่งที่หน้าไปรษณีย์ ใกล้กับตลาดธานินทร์ เยื้องกับจุดที่ไปรับครั้งแรก โดยตัวเองได้ให้เบอร์โทรศัพท์แก่ผู้โดยสารไว้ด้วยเผื่อเรียกใช้บริการอีก ซึ่งหลังจากผ่านไปราว 1 สัปดาห์ ผู้โดยสารคนดังกล่าวได้โทรศัพท์มาพูดคุยอีก 2 ครั้งเหมือนจะว่าจ้าง โดยถามว่าว่างหรือไม่ แต่ไม่ได้ว่าจ้าง อีกทั้งมีการพูดประโยคที่ทำให้รู้สึกแปลกใจว่า "ว่างๆ จะพาไปซุกเงินอีก" ซึ่งตัวเองไม่เข้าใจความหมายและไม่ทันได้สนใจ
จนกระทั่งวานนี้ (7 ต.ค.) มีผู้ชายอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจโทรศัพท์มาหาตัวเองบอกว่ามีผู้เสียหายแจ้งความที่จังหวัดยะลา กล่าวหาว่าโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของตัวเองจำนวน 35,000 บาท เพื่อซื้อพระเครื่อง แต่ไม่ได้รับพระจึงต้องการจะขอเงินคืน ซึ่งตัวเองได้ปฏิเสธไปว่าไม่รู้เรื่องและไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง จากนั้นได้มีผู้ส่งข้อความ SMS มาข่มขู่ให้ตัวเองโอนเงิน 35,000 บาทให้เพื่อแลกกับการไม่ถูกเอาเรื่อง และมีผู้ส่งข้อความมาลักษณะข่มขู่ทางไลน์ให้โอนเงินอีก พร้อมข้อมูลส่วนตัวและเลขบัญชีของตัวเอง รวมทั้งบัตรประชาชนของผู้ชายอีกคนหนึ่งที่ระบุว่าเป็นคนขายพระ ซึ่งตัวเองรับว่าเลขบัญชีเป็นของตัวเอง แต่บัตรประชาชนไม่ใช่ และไม่รู้เรื่องด้วย จากนั้นจึงรีบเดินทางไปที่สถานีตำรวจสันทราย เพื่อแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานยืนยันความบริสุทธิ์ว่าไม่ส่วนเกี่ยวข้องรู้เห็นใดๆ กับเรื่องดังกล่าว และวันนี้ได้เข้าแจ้งความลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจภูธรช้างเผือกด้วย พร้อมกับผู้ชายเจ้าของบัตรประชาชนที่ถูกระบุว่าเป็นคนขายพระ ซึ่งผู้ชายคนนี้อ้างว่าไม่มีส่วนรู้เห็นเช่นกัน และบอกว่าทำบัตรประชาชนหายไปเมื่อหลายเดือนก่อน แต่ไม่ได้เข้าแจ้งความ คาดว่าถูกนำบัตรไปแอบอ้าง โดยจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ตนเองเชื่อว่าอาจจะเป็นขบวนการของแก๊งมิจฉาชีพที่หลอกเหยื่อเพื่อรีดไถเงินหรือหลอกให้ฟอกเงินผิดกฎหมาย ซึ่งนอกจากเปิดเผยเรื่องราวเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ใจแล้ว ยังอยากให้เป็นอุทาหรณ์เตือนภัยด้วยว่า อย่าหลงเชื่อยินยอมให้ผู้อื่นทำธุรกรรมใดๆ ผ่านบัญชีธนาคารของตัวเองอย่างเด็ดขาด เพราะอาจจะตกเป็นเหยื่อหรือเดือดร้อนได้