ศูนย์ข่าวศรีราชา - นับ 1 ใหม่รื้อบ้านสุขาวดี รุกที่สาธารณะ 11 ไร่ หลังศาลคุ้มครองชั่วคราว ระบุเมืองพัทยาออกคำสั่งโดยมิชอบด้วยไม่ระบุสาเหตุการรื้อถอนอาคาร เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเร่งรวบรวมเอกสารเสนอนายกพัทยา ลงนามใหม่
วันนี้ (1 ต.ค.) นายสุธรรม เพชรเกตุ รักษาราชการแทนปลัดเมืองพัทยา พร้อมด้วยเจ้าหน้าทีที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันแถลงความคืบหน้าการออกคำสั่งรื้อถอนอาคาร 3 หลังของ “บ้านสุขาวดี” ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ ต.นาเกลือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ว่า ที่ผ่านมาเมืองพัทยา ได้จัดการปัญหาการบุกรุกที่สาธารณะและการก่อสร้างโดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างจริงจัง ส่วนสาเหตุที่ทำให้การดำเนินคดีล่าช้าเพราะ ติดปัญหาด้านข้อกฎหมายและการร้องเรียนของผู้ถูกกล่าวหาที่มีมาอย่างต่อเนื่อง
พร้อมยืนยันว่า เมืองพัทยา จะยังคงเดินหน้าและเอาจริงกับการดำเนินคดีบ้านสุขาวดี แม้ว่าตนเองจะหมดวาระการดำรงตำแน่งในวันที่ 30 ก.ย.2563 นี้ โดยได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเร่งติดตามคดีและดำเนินการตามขั้นตอนอย่างถึงที่สุด
โดยเฉพาะการบุกรุกที่ดินสาธารณะของ “บ้านสุขาวดี” ที่มีการจัดทำประโยชน์ และก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่ จำนวน 1 อาคาร และขนาดเล็กอีก 2 อาคาร บริเวณที่ดินสาธารณะริมทะเลขนาดใหญ่ 11 ไร่ ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังมานาน จนสังคมมองว่างานนี้ "อาจเป็นมวยล้ม ต้มคนดู"
รักษาราชการแทนปลัดเมืองพัทยา ยังเผยอีกว่า ก่อนหน้านี้ เมืองพัทยาได้แจ้งหนังสือไปยังบริษัท เฮลท์ฟู้ดส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) จำกัด ในนาม “บ้านสุขาวดี” หลังตรวจพบว่ามีการก่อสร้างอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น
พร้อมปิดหมายตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร เรื่องการระงับใช้ การห้ามก่อสร้างดัดแปลง และให้ทำการรื้อถอนออกอาคารจากพื้นที่ ตามคำสั่งแบบ ค.3 ค.4 ค.7 และ ค.10 ตั้งแต่ปี 2562 โดยมี 3 อาคารที่เข้าข่ายกระทำการผิดขั้นตอน
ประกอบไปด้วย อาคาร A เป็นอาคารโครงเหล็ก 2 ชั้น ขนาด 18.30x55.30 เมตร จำนวน 1 หลัง และป้ายโครงสร้างเหล็กขนาด 10x13 เมตรจำนวน 2 ป้าย ซึ่งพบว่าเป็นการก่อสร้างบนพื้นที่สาธารณะหรือมีการบุกรุกที่ดินขนาด 11 ไร่ 1 งาน ส่วนอาคาร B เป็นอาคาร ค.ส.ล.1 ชั้น ขนาด 35x40 เมตรจำนวน 1 หลัง และ อาคาร C เป็นอาคาร ค.ส.ล.1 ชั้น ขนาด 5x15 เมตร จำนวน 1 หลัง
และแม้ว่าจะมีการคัดค้านจากทาง “บ้านสุขาวดี” ว่าที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นที่งอกตามธรรมชาติจึงเป็นสิทธิของบริษัทฯ ที่สามารถกระทำได้
แต่จากการตรวจสอบภาพถ่ายทางอากาศ รวมทั้งการรังวัดระวางที่ดินจากสำนักงานที่ดินอำเภอบางละมุง และพยานแวดล้อม พบว่าจุดที่ตั้งของอาคาร A แต่เดิมมีลักษณะเป็นปากคลองธรรมชาติ และไม่มีกรณีของการที่ดินงอกตามคำกล่าวอ้างแต่อย่างใด
ปัจจุบันจึงได้มีการนำรั้วเหล็กไปปิดล้อม เพื่อระงับการใช้อาคารและรอความคืบหน้าผลการปฏิบัติทางกฎหมาย
ขณะที่บริษัท เฮลท์ฟู้ด อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) จำกัด หรือบ้านสุขาวดี ได้ทำหนังสืออุทธรณ์คำสั่งของเมืองพัทยา ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ระดับจังหวัดในกรณีดังกล่าวตามเหตุผลข้างต้นโดยระบุว่าไม่เห็นพ้องด้วย เนื่องจากเมืองพัทยาออกคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายสร้างความไม่เป็นธรรมและภาระแก่บริษัทฯ ด้วยที่ดินที่มีการระบุว่าเป็นที่สาธารณะนั้นเป็นที่ดินที่งอกตามธรรมชาติ จึงมีผลให้ทางบริษัทฯมีกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินนั้น
และประเด็นดังกล่าวยังเป็นข้อพิพาทอยู่ในระหว่างการขอออกโฉนดที่ดิน ณ สำนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรี สาขาอำเภอบางละมุง ซึ่งยังไม่แล้วเสร็จ
ด้าน นายมารุต อุทัยวัฒนานนท์ วิศวกรโยธาปฏิบัติการ สำนักการช่างเมืองพัทยา กล่าวว่า หลังคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์คำสั่งทาง “บ้านสุขาวดี” ได้ยื่นฟ้องร้องต่อศาลปกครอง ว่า คำสั่งเมืองพัทยาออกโดยมิชอบ ซึ่งปัจจุบันศาลได้รับเรื่องและให้ความคุ้มครองชั่วคราวแล้ว โดยเนื้อหาระบุว่า การอุทธรณ์คำสั่งของเมืองพัทยา ไปยังคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จังหวัดชลบุรีนั้น
คณะกรรมการสามารถเรียกผู้บริหารบริษัทฯให้มาลงนามหรือประทับตราได้แต่กลับไม่ดำเนินการและไม่รับการวินิจฉัย ด้วยเหตุนี้ศาลปกครองจึงมีหนังสือตรงถึงเมืองพัทยาโดยให้คงไว้ซึ่งหมายตาม ค.4 ในการระงับการใช้อาคาร
ส่วนกรณีของหมายอื่นๆ ตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคารนั้น ให้ดำเนินการเพิกถอนและออกคำสั่งใหม่ เนื่องจากเป็นคำสั่งให้มีการรื้อถอนแต่ไม่แจ้งสาเหตุว่าจะดำเนินการรื้อถอนด้วยประการใด จึงให้เสนอเรื่องพร้อมหลักฐานในการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนและชัดเจนต่อไป
“ปัจจุบันเมืองพัทยาได้เตรียมเอกสาร พร้อมออกทำหนังสือคำสั่งตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคารไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อให้เกิดความชัดเจนและถือเป็นบทเรียนสำคัญในการปฏิบัติงาน ก่อนจะเร่งนำเสนอเรื่องต่อ นายสนธยา คุณปลื้ม นายกเมืองพัทยา เพื่อลงนามคำสั่งเพื่อทำตามขั้นตอนใหม่อีกครั้ง” นายมารุต กล่าว