ศูนย์ข่าวศรีราชา - ง้างหมัดเก้อ! รื้อ “บ้านสุขาวดี” ล้มไม่เป็นท่า บริษัท เฮลธ์ฟู้ดฯ ดอดยื่นอุทธรณ์คำสั่งคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ จ.ชลบุรี วินิจฉัยไม่รับการอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยกฎหมายต่อศาลปกครองระยอง กระทั่งมีคำสั่งให้ทุเลาจนกว่าจะมีคำสั่งเป็นอื่น สุดท้ายทำได้เแค่ปักรั้วกันแนวเขต
วันนี้ (22 เม.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีที่เมืองพัทยา ได้กำหนดดีเดย์รื้อถอนอาคารริมทะเล “บ้านสุขาวดี” ภายใต้การดูแลของบริษัท เฮลท์ฟู้ดส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) รุกพื้นที่สาธารณะจำนวน 11 ไร่ ในพื้นที่ ม.2 ต.นาเกลือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ซึ่งที่ผ่านมา เมืองพัทยา ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าติดประกาศหมายผลการอุทธรณ์ และประกาศคำสั่งของเมืองพัทยา กรณีการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่สาธารณะของ “บ้านสุขาวดี” ว่า สุดท้ายต้องยกเลิกภารกิจดังกล่าวออกไปแบบไม่มีกำหนด และทำได้เพียงการปักรั้วกันแนวเขตที่ดินสาธารณะไว้เท่านั้น
หลังตัวแทนองค์กรตรวจสอบภาครัฐ ได้ยื่นหนังสำเนาคำสั่งศาลปกครองระยอง ซึ่ง “บ้านสุขาวดี” ในนามบริษัท เฮลธ์ฟู้ด อินเตอร์เนชั่นแนล ( ไทยแลนด์) จำกัด ได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่ง โดยระบุว่า คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จังหวัดชลบุรี ที่วินิจฉัยไม่รับการอุทธรณ์นั้นเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ต่อศาลปกครองระยอง กระทั่งศาลมีคำสั่งให้ทุเลาจนกว่าจะมีคำสั่งเป็นอื่นหรือคำพิพากษา
ทั้งที่ นายสุธรรม เพ็ชรเกตุ รองปลัดเมืองพัทยา รักษาราชการแทนปลัดเมืองพัทยา ได้สั่งการให้ นายเกียรติศักดิ์ ศรีวงษ์ชัย รองปลัดเมืองพัทยา นำเจ้าหน้าที่จากสำนักการช่างเมืองพัทยา และกำลังเจ้าหน้าที่เทศกิจ ลงพื้นที่บริเวณอาคารริมทะเล “บ้านสุขาวดี” พร้อมรถแบ็กโฮ รถบรรทุก และเครื่องมือหนักที่เตรียมไปเต็มอัตรา เพื่อเตรียมดำเนินการรื้อถอนอาคารตามกำหนดต้องยกเลิกภารกิจดังกล่าว โดยมีตัวแทนจากบ้านสุขาวดี และสื่อมวลชนแขนงต่างๆ ร่วมสังเกตการณ์
นายเกียรติศักดิ์ ศรีวงษ์ชัย รองปลัดเมืองพัทยา เผยว่า ในวันนี้ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่และเครื่องมือเพื่อเตรียมดำเนินการอย่างเต็มกำลังตามขั้นตอนของกฎหมาย
แต่เนื่องจาก นายอมรฒิพัฒน์ ภูบาล ซึ่งระบุว่าเป็นผู้อำนวยการองค์กรตรวจสอบภาครัฐ เอกชน โดยประชาชนเพื่อประชาชน ได้ยื่นเอกสารสำเนาหนังสือแจ้งคำสั่งศาลปกครองระยอง ที่ “บ้านสุขาวดี” ในนามบริษัท เฮลท์ฟู้ดส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) ได้ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองระยองระบุว่า คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จังหวัดชลบุรี ซึ่งไม่รับการอุทธรณ์เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
กระทั่งศาลปกครองมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์ ที่วินิจฉัยไม่รับอุทธรณ์ไว้พิจารณาไว้จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอื่น
“เมืองพัทยา คงต้องปฏิบัติตามและน้อมรับคำสั่งของศาลปกครอง และได้ยกเลิกภารกิจรื้อถอนอาคารจนกว่าจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น อย่างไรก็ตาม หนังสือที่นำมาแสดงเป็นเพียงสำเนา และเมืองพัทยา จะนำหนังสือดังกล่าวไปแจ้งความลงบันทึกไว้เป็นหลักฐานที่ สภ.บางละมุง ซึ่งคำสั่งของศาลปกครองดังกล่าวเป็นการคุ้มครองในส่วนของตัวอาคารเท่านั้น” รองปลัดเมืองพัทยา กล่าว
อย่างไรก็ตาม มีรายงานเพิ่มเติมว่า แผนรื้อถอนอาคารในส่วนของอาคาร A, B และ C ซึ่งในส่วนของอาคาร A เป็นอาคารขนาดใหญ่ ลักษณะเป็นอาคารโครงเหล็ก 2 ชั้น ขนาด 18.30 คูณ 55.30 เมตร จำนวน 1 หลัง และป้ายโครงสร้างเหล็กขนาด 10x13 เมตร จำนวน 2 ป้าย ถือเป็นอาคารขนาดใหญ่ที่รุกล้ำที่ดินสาธารณะ
ขณะที่อาคาร B และ C ซึ่งเป็นอาคาร ค.ส.ล. ขนาด 35 คูณ 40 เมตร จำนวน 1 หลัง และอาคาร ค.ส.ล. ขนาด 5 คูณ 15 เมตร จำนวน 1 หลัง บริเวณริมทะเลได้มีการก่อสร้างโดยไม่ได้รับอนุญาต และดำเนินการไม่เป็นไปตามข้อกำหนดของกฎหมายในการเว้นระยะจากระดับน้ำทะเลขึ้นสูงขึ้นในระยะ 20 เมตรนั้น
ปรากฏว่า สุดท้ายเมืองพัทยา ก็ยังไม่สามารถดำเนินการรื้อถอนอาคารรุกล้ำที่สาธารณประโยชน์ได้ตามแผนการที่กำหนดไว้
ทั้งนี้ มีรายงานเพิ่มเติมว่า การทวงคืนที่ดินสาธารณะ “บ้านสุขาวดี” ถือเป็นกรณีที่ประ ชาชนให้ความสนใจ และติดตามความคืบหน้ามาโดยตลอดว่าสุดท้ายแล้วภาครัฐจะสามารถทวงคืนที่ดินสาธารณะจากเอกชนที่เข้าบุกรุกหาประโยชน์มานานกว่า 10 ปีได้สำเร็จตามที่ประกาศแจ้งไว้หรือไม่ ซึ่งหากสุดท้ายเมืองพัทยา ไม่สามารถบริหาร จัดการและบังคับใช้กฎหมายต่อผู้บุกรุกได้ก็ถือว่าไม่สามารถใช้กฎหมายต่อผู้กระทำผิดได้
ขณะที่บางกระแสระบุว่า การปิดหมายคำสั่งรื้อถอนอาคารแบบ ค.7 ของ “บ้านสุขาวดี” ที่เมืองพัทยาได้ดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 25 มี.ค.2563 และมีกำหนดให้ “บ้านสุขาวดี” ดำเนินการรื้อถอนภายใน 15 วัน และครบกำหนดไปตั้งแต่วันที่ 9 เม.ย.ที่ผ่านมา เมืองพัทยา กลับไม่เข้าดำเนินการรื้อถอนตามขั้นตอนแต่กลับยืดเวลาการรื้อถอนเป็นวันที่ 22 เม.ย.ซึ่งเลยกำหนดดำเนินการถึง 13 วัน
จนนำมาสู่คำสั่งทุเลาจากศาลปกครองระยอง เป็นเหตุให้ไม่สามารถทำการรื้อถอนอาคารตามแผนที่กำหนดไว้ได้ และสุดท้ายก็ยังไม่สามารถระบุได้ว่าการทวงคืนที่ดินสาธารณประโยชน์ที่เมืองพัทยา ระบุว่ามีหลักฐานครบถ้วน และดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างจริงจังนั้นจะสำเร็จและเป็นผลอย่างเป็นรูปธรรมได้เมื่อใด
เพราะสุดท้ายก็ทำได้แค่เพียงการปักเสาคอนกรีตขนาด 2 เมตร เพื่อกันแนวพื้นที่เท่านั้น