ศูนย์ข่าวศรีราชา – ป้าแฉเอง ! เหตุหลานชายนักเรียน ม.3 โดนโชเฟอร์เบี้ยวเงินทอนป่วยซึมเศร้าจะกระโดดสะพานลอยฆ่าตัวตายซ้ำเมื่อช่วงเย็นวานนี้ เพราะถูกเพื่อนที่โรงเรียนล้อเลียนจนเกิดความเครียด วอนหน่วยงานเกี่ยวข้องช่วยรักษาจนปกติหวั่นทำร้ายตัวเองอีก
จากกรณีที่ ด.ช.เอก (นามสมมติ) อายุ 15 ปี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียน ชื่อดังใน อ.สัตหีบ พยายามที่จะกระโดดสะพานลอยฆ่าตัวตายเป็นรอบที่ 2 หลังครั้งแรกพยายามที่จะกระโดดลงจากสะพานลอยหน้าหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ฐานทัพเรือสัตหีบ หลังถูกโชเฟอร์รถสหกรณ์สองแถวเบี้ยวไม่ทอนเงิน จนเกิดความโมโหและน้อยเนื้อต่ำใจในชีวิตแต่โชคดีที่บรรดาเพื่อนและเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถช่วงชีวิตไว้ได้ เหตุเกิดเมื่อช่วงเช้าวันที่ 14 ก.ย.ที่ผ่านมา
ส่วนครั้งที่ 2 ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อช่วงเย็นวานนี้บนสะพานลอยบริเวณด้านหน้าซอยเนินพลับหวาน ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยกูภัยฯ สามารถช่วยชีวิตไว้ได้ก่อนเกลี่ยกล่อมเพื่อพาตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลบางละมุง ซึ่งขณะนี้อยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดนั้น
ในวันนี้ ( 23 ก.ย.) นางสงวน สุดแทนพิทักษ์ อายุ 56 ปี ป้าซึ่งดูแล ด.ช.เอก ได้เดินทางเข้าพบแพทย์ที่โรงพยาบาลบางละมุง เพื่อติดตามการรักษาอาการป่วยของหลานชาย พร้อมกับเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า อาการของหลานชายเริ่มดีขึ้นและสามารถพูดคุยได้ดีตามลำดับ แต่หลานชายก็ยังคงไม่ยอมบอกถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการเครียดจนต้องก่อเหตุซ้ำ
ขณะที่คณะครูและเพื่อนสนิทของ ด.ช.เอก ได้เดินทางเข้าเยี่ยมและให้กำลังใจจนสุดเจ้าตัวได้ยอมเปิดเผยว่า สาเหตุที่สร้างความกดดันจนต้องพยายามที่จะฆ่าตัวตายเป็นรอบที่ 2 เกิดจากการถูกเพื่อนในโรงเรียนบางกลุ่มล้อเลียนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งจนทำให้เกิดความกดดันและเกิดความเครียดสะสม
นางสงวน ป้าของ ด.ช.เอก ยังบอกอีกว่าหลังเกิดเหตุการณ์หลานชายถูกโชเฟอร์สองแถวโกงเงินทอน หลานชายก็มีความเข้าใจถึงเรื่องที่เกิดขึ้นและกลับมาพูดจากลับคนในครอบครัวได้ตามปกติ และยังช่วยทำงานบ้านอย่างสม่ำเสมอ
ซึ่งในช่วงเช้าวันเกิดเหตุครั้งล่าสุดหลานชายก็ยังพูดคุยตามปกติและไม่มีอาการผิดแปลกหรืออาการเครียดแต่อย่างใด กระทั่งมาทราบจากเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าว่า หลานงก่อเหตุซ้ำจึงรีบเดินทางไปที่โรงพยาบาล
อย่างไรก็ดีที่ผ่านมา ด.ช.เอก มีประวัติการรักษาอาการป่วยซึมเศร้าอยู่ที่โรงพยาบาลสิริกิติ์ มานานกว่า 2 ปีและยังคงได้รับการรักษารวมทั้งต้องรับประทานยาและไปพบแพทย์อยู่เป็นประจำ และหลังจากนี้ทีมแพทย์จะส่งตัวไปตรวจอาการป่วยอย่างระเอียดกับแพทย์เฉพาะทางที่โรงพยาบาลชลบุรี ก่อนจะส่งตัวกลับมารักษาที่โรงพยาบาลเดิมอีกครั้ง
“ ใจจริงก็อยากให้หน่วยงานเฉพาะทางมารับตัวหลานไปรักษาให้หายเป็นปกติก่อจึงค่อยส่งตัวให้กลับมาอยู่กับครอบครัว เพราะเกรงว่าสุดท้ายเมื่ออาการกำเริบ หลานชายก็อาจจะก่อเหตุทำร้ายตัวเองซ้ำได้อีก” นางสงวน กล่าว
...