xs
xsm
sm
md
lg

คดีหลานปาระเบิดใส่ห้องตายังไม่คืบ เหตุยังให้ปากคำไม่ได้ อยู่ในภาวะเครียด

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ประจวบคีรีขันธ์ - ผู้ต้องหาคดีปาระเบิดใส่ห้องนอนตา ยังไม่สามารถให้การเพิ่มเติมได้ เนื่องจากอยู่ในภาวะเครียดจนชักเกร็ง ต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลบางสะพาน

วันนี้ (27 ส.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าในคดีที่ นายนภัทร จันทร์สุภา อายุ 23 ปี หรือตูน หลานชาย ซึ่งมีภาวะป่วยอันเนื่องมาจากการเสพยาเสพติดจนก่อเหตุปาระเบิดใส่ห้องนอน นายเสริม ชุนเชย อายุ 68 ปี เป็นสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลร่อนทอง (ส.อบต.) ซึ่งมีศักดิ์เป็นตา ได้รับบาดเจ็บ บริเวณห้องนอนเล็ก บ้านเลขที่ 310/3 ม.3 ต.ร่อนทอง อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เหตุเกิดเมื่อช่วงเช้าวานนี้

โดยวันนี้ ที่ สภ.บางสะพาน พ.ต.ท.ณัฐพล ทับทิม สารวัตร (สอบสวน) สภ.บางสะพาน เจ้าของคดี ได้ให้ข้อมูลว่า ล่าสุด ยังไม่สามารถสอบปากคำเพิ่มเติมได้เนื่องจากนายนภัทร จันทร์สุภา ซึ่งเป็นผู้ต้องหาคดีเกิดภาวะเครียดจัดจนมีอาการชักเกร็ง พูดจาไม่รู้เรื่อง เมื่อกลางดึกคืนที่ผ่านมา จนเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องหามส่งโรงพยาบาลบางสะพานอีกครั้ง และแพทย์ได้ให้การรักษา และให้พักรักษาตัวที่โรงพยาบาลบางสะพาน จนกว่าอาการจะดีขึ้น

ทางด้าน ร.ต.อ.วิทยา คูณทวีทรัพย์ชัย รองสารวัตร (สอบสวน) สภ.บางสะพาน เจ้าของคดีเสพยาเสพติด (ยาบ้า) และอาวุธปืนลูกโม่ ขนาด .38 พร้อมกระสุนปืน 6 นัด ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ยังต้องรอสอบปากคำผู้ต้องหาเพิ่มเติมอีก เพื่อหาที่มาของอาวุธปืนขนาด .38 ซึ่งไม่มีทะเบียน ก่อนดำเนินการเตรียมส่งฟ้องศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อดำเนินคดี ด้วยระบบออนไลน์ แต่ต้องรอให้อาการป่วยดีขึ้นเสียก่อน

ด้าน พล.ต.ต.สุรศักดิ์ สุขแสวง ผบก.ภ.จว.ประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ชุดคลี่คลายคดีกำลังเร่งตรวจสอบหาที่มาของวัตถุระเบิด ซึ่งเชื่อได้ว่าเป็นการสั่งซื้อผ่านระบบออนไลน์ และรอผลการตรวจสอบของทีมพิสูจน์หลักฐานและเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด หรือ EOD กก.ตชด.14 ซึ่งได้เก็บชิ้นส่วนสลักและกระเดื่องของวัตถุระเบิด ตลอดจนสะเก็ดระเบิดขนาดเล็กในที่เกิดเหตุ เพื่อตรวจสอบว่าเป็นระเบิดชนิดใด

ส่วนการทำแผนประกอบคำรับสารภาพนั้น น่าจะไม่สามารถทำได้ เนื่องจากผู้ต้องหายังมีภาวะป่วย พูดคุยไม่รู้เรื่องอยู่ แต่ทั้งนี้เจ้าหน้าที่มีพยานแวดล้อมยืนยันการกระทำผิดอยู่แล้ว แต่ในคดีนี้มีความเกี่ยวข้องผูกพันเป็นญาติกัน แม้เจ้าทุกข์จะไม่เอาความ แต่เจ้าหน้าที่ยังคงต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ซึ่งกระบวนการสุดท้ายคือการบำบัดให้หายจากภาวะป่วย




กำลังโหลดความคิดเห็น