xs
xsm
sm
md
lg

กรมอุทยานฯเตรียมยึดคืนที่ดิน ที่มีโฉนด หรือน.ส. 3 ไม่ทำประโยชน์ คืนแผ่นดิน

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

กาญจนบุรี - เจ้าของที่ดินหนาวแน่!! สบอ.3 (บ้านโป่ง) กรมอุทยานฯ เตรียมเอกซเรย์ โฉนด หรือ น.ส.3 ไม่ทำประโยชน์ หรือปล่อยให้ที่ดินเป็นที่รกร้างว่างเปล่าเกิน กม.กำหนด จะยึดคืนกลับมาเป็นสมบัติของแผ่นดิน

วันนี้ (23 ส.ค.) นายนิพนธ์ จำนงสิริศักดิ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) เปิดเผยว่า มีคำพิพากษาศาลปกครองที่สำคัญ และเป็นคดีแรกของประเทศไทยที่เป็นคดีพิพาท ตามมาตรา 6 ประมวลกฎหมายที่ดิน ที่เจ้าของที่ดินทอดทิ้งไม่ทำประโยชน์ หรือปล่อยที่ดินให้เป็นที่รกร้างว่างเปล่า ถ้าเป็นโฉนดที่ดินเกิน 10 ปีติดต่อกัน ถ้าเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์เกิน 5 ปีติดต่อกัน ให้ถือว่ามีเจตนาสละสิทธิที่ดินนั้น เมื่ออธิบดีกรมที่ดินได้ยื่นคำร้องต่อศาล และศาลได้สั่งเพิกถอนให้ที่ดินนั้นตกเป็นของรัฐ เป็นคดีที่เกิดขึ้นในสมัยที่ตนเองเคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 (เชียงราย)

นายนิพนธ์ เปิดเผยต่อไปว่าเมื่อ 4 ปีกว่าที่แล้ว วันที่ 11 ก.พ.2559 น.ส.เจนจิรา ชมภูชิต กับพวก ได้ยื่นคำฟ้องต่อศาลปกครองเชียงใหม่ เป็นคดีหมายเลขดำที่ 12/2559 ขอให้ศาลมีคำพิพากษา หรือคำสั่ง 2 คำขอดังนี้ 1.ขอให้เพิกถอนหนังสือคัดค้านของหัวหน้าอุทยานแห่งชาติขุนแจ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ที่คัดค้านการรังวัดที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 1624 ที่ออกโดยชอบด้วยกฎหมาย เนื้อที่ 2ไร่ 3 งาน 29 ตาราวา ตำบลแม่เจดีย์ใหม่ อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย ในเขตอุทยานแห่งชาติขุนแจ 

ที่คัดค้านว่า ที่ดินดังกล่าวถึงแม้มีเอกสารสิทธิออกโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่สภาพปัจจุบัน มีสภาพเป็นป่า และเมื่อตรวจสอบภาพถ่ายทางอากาศย้อนหลัง ประกอบกับมีพยานบุคคลยื่นยันว่า ที่ดินดังกล่าวได้ถูกทอดทิ้งไม่ทำประโยชน์ หรือปล่อยให้เป็นที่รกร้างว่างเปล่ามาตั้งแต่ปี พ.ศ.2545 เกินกว่า 5 ปีติดต่อกัน ถือว่ามีเจตนาสละสิทธิ ตามมาตรา 6 ประมวลกฎหมายที่ดิน ตกเป็นของรัฐโดยผลของกฎหมายโดยทันที เทียบเคียงคำพิพากษาฎีกา ที่ 1989/2511 พร้อมกับได้ทำหนังสือ และพยานหลักฐาน ขอให้อธิบดีกรมที่ดินยื่นคำร้องต่อศาล ขอให้ศาลสั่งเพิกถอนน.ส.3 ก.เลขที่ 1624 ให้ตกเป็นของรัฐ ตามมาตรา 6 ประมวลกฎหมายที่ดิน

2.ขอให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติอละสิ่งแวดล้อม ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 และหัวหน้าอุทยานแห่งชาติขุนแจ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย และค่าขาดประโยชน์ให้แก่ น.ส.เจนจิรา กับพวกผู้ฟ้องคดี เป็นเงิน 5 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จ

ต่อมา เมื่อวันที่ 5 ส.ค.2563 ที่ผ่านมา ศาลปกครองเชียงใหม่ จึงได้มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ 12/2559 คดีหมายเลขแดงที่ 207/2563 ยกฟ้องในคดีดังกล่าว โดยศาลได้วินิจฉัยว่าที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 1624 ดังกล่าวได้ถูกทอดทิ้งไม่ทำประโยชน์ หรือปล่อยที่ดินให้เป็นที่รกร้างว่างเปล่าติดต่อเกินกว่า 5 ปี ตามมาตรา 6 ประมวลกฎหมายที่ดิน แต่ที่ดิน น.ส.3 ก.เลขที่ 1624 ดังกล่าวยังไม่ตกเป็นของรัฐโดยทันที

กรมอุทยานฯ ต้องไปดำเนินการตามขั้นตอนให้อธิบดีกรมที่ดิน นำเรื่องดังกล่าวยื่นคำร้องต่อศาลให้วินิจฉัยชี้ขาดเพื่อให้ศาลมีคำสั่งว่าจะเพิกถอนที่ดิน น.ส. 3 ก.ดังกล่าวหรือไม่เสียก่อน น.ส.เจนจิรา กับพวกผู้ฟ้องคดียังคงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดิน น.ส.3 ก.เลขที่ 1624 ตราบเท่าที่ดินของ น.ส.เจนจิรา กับพวกผู้ฟ้องคดียังไม่ถูกเพิกถอนสิทธิครอบครองให้ที่ดินตกเป็นของรัฐ

สำหรับค่าเสียหายที่ น.ส.เจนจิรา กับพวกผู้ฟ้องคดี อ้างว่า ได้กู้ยืมเงินมาจากสถาบันการเงินเพื่อนำไปซื้อที่ดิน น.ส.3 ก.เลขที่ 1624 ดังกล่าว และค่าขาดประโยชน์ ขาดรายได้จากการที่จะทำร้านอาหาร และร้านกาแฟในที่ดิน น.ส.3 ก.เลขที่ 1642 ดังกล่าว รวมเป็นเงิน 5 ล้านบาทนั้น ศาลได้วินิจฉัยว่า ขณะที่ น.ส.เจนจิรา กับพวกผู้ฟ้องคดีได้นำคดีนี้มาฟ้องต่อศาล น.ส.เจนจิรา กับพวกผู้ฟ้องคดี ยังคงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดิน ตาม น.ส.3 ก.เลขที่ 1624 ในเขตอุทยานแห่งชาติขุนแจตราบเท่าที่ดินของ น.ส.เจนจิรา กับพวกผู้ฟ้องคดี ยังไม่ถูกเพิกถอนความเสียหายที่ น.ส.เจนจิรา กับพวกผู้ฟ้องคดี ที่กล่าวอ้างว่าได้กู้ยืมเงินมาจากสถาบันการเงินเพื่อนำมาซื้อที่ดินพิพาทดังกล่าวยังไม่ถือเป็นความเสียหายที่จะฟ้องร้องให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ชดใช้ให้แก่ น.ส.เจนจิรา กับพวกผู้ฟ้องคดีได้ การกระทำของหัวหน้าอุทยานแห่งชาติขุนแจ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 จึงไม่เป็นการกระทำละเมิดต่อ น.ส.เจนจิรา กับพวกผู้ฟ้องคดี

ส่วนค่าขาดประโยชน์จากการที่จะทำร้านอาหารหรือร้านกาแฟในที่ดิน น.ส.3 ก.เลขที่ 1624 ดังกล่าวนั้นค่าเสียหายดังกล่าวเป็นเพียงการคาดการณ์ในอนาคต จึงไม่จำต้องรับผิดชดใช้ให้แก่ น.ส.เจนจิรา กับพวกผู้ฟ้องคดี

จากคำพิพากษาศาลปกครองเชียงใหม่ดังกล่าว และตามนโยบาย ของนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ที่ให้ดำเนินคดีต่อนายทุนผู้บุกรุกป่าอย่างเด็ดขาด หากพบการออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบในที่ดินในเขตป่า ก็ให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเฉียบขาด

ดังนั้น ตนจึงได้สั่งการให้อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขตห้ามล่าสัตว์ป่าทุกแห่งในสังกัดสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) ที่ดูแลพื้นที่ป่าอนุรักษ์ในจังหวัดกาญจนบุรี สุพรรณบุรี ราชบุรี นครปฐม สมุทรสงคราม สมุทรสาคร ให้ดำเนินการ ตรวจสอบโฉนดที่ดิน หรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ที่รับผิดชอบ หากตรวจสอบแล้ว พบว่า มีการเอกสารสิทธิในที่ดินในเขตป่าอนุรักษ์โดยมิชอบ ก็เสนอขอให้กรมที่ดินเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ออกโดยมิชอบในที่ดินเขตป่าอนุรักษ์ ตามมาตรา 61 ประมวลกฎหมายที่ดิน กลับคืนมาเป็นสมบัติของแผ่นดินดังเดิม

ถ้าหากตรวจสอบแล้วพบว่า โฉนดที่ดิน หรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ออกโดยชอบ แต่ได้ทอดทิ้ง หรือไม่ทำประโยชน์ ถ้าเป็นโฉนดที่ดินเกิน 10 ปี ถ้าเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์เกิน 5 ปี ถือว่ามีเจตนาสละสิทธิในที่ดิน ก็เสนอขอให้กรมที่ดิน เสนอต่อศาลเพิกถอน ตามมาตรา 6 ประมวลกฎหมายที่ดิน กลับคืนมาเป็นสมบัติของแผ่นดินดังเดิม

นายนิพนธ์ ยังได้กล่าวต่อไปว่า หากกรมที่ดินดำเนินการเพิกถอนเอกสารสิทธิล่าช้า ทั้งที่มีพยานหลักฐานอย่างชัดแจ้งโดยปราศเหตุอันสมควร หน่วยงานของรัฐที่เป็นผู้เดือดร้อน หรือเสียหายอาจสามารถยื่นฟ้อง ให้กรมที่ดินดำเนินการตามกฎหมายที่ดิน มาตรา 6 หรือมาตรา 61 ได้ไม่ขัดกับมติ ครม.12 ธ.ค.2549 เทียบเคียงคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.529/2559 และถ้าหากดำเนินการอย่างเคร่งครัดและจริงจังในที่ดินที่ได้ถูกทอดทิ้งไม่ทำประโยชน์หรือปล่อยให้เป็นที่รกร้างว่างเปล่า ตามมาตรา 6 ประมวลกฎหมายที่ดินในทุกพื้นแล้วจะเป็นการกระตุ้นการพัฒนาที่ดินและสร้างงานให้แก่ประชาชนในท้องถิ่น นอกจากนี้ ยังได้พื้นที่ป่าหรือพื้นที่สีเขียวเพิ่มขึ้นจากการยึดคืนที่ดินมาจากนายทุนอีกด้วย


กำลังโหลดความคิดเห็น