กาญจนบุรี - กรมอุทยานฯ สบอ.3 (บ้านโป่ง) ลุยปราบปรามร้านค้าเนื้อสัตว์ป่าริมถนนไทรโยค-กาญจนบุรีอย่างต่อเนื่อง แจ้งเตือนร้านค้าหลอกขายเนื้อสัตว์ป่าเก๊ ให้ผู้ซื้อ มีโทษหนักจำคุก 3 ปี
วันนี้ (8 ส.ค.) นายนิพนธ์ จำนงสิริศักดิ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) เปิดเผยว่า สืบเนื่องมาจากวันที่ 6 สิงหาคม 2563 ที่ทางเจ้าหน้าที่ได้จับกุม นางอารยา บุญมี อายุ 54 ปี แม่ค้าขายเนื้อกวางป่า โดยได้ติดป้ายโฆษณาหน้าร้านขายเนื้อ "กวางป่า" ริมถนนสายไทรโยค-กาญจนบุรี ไม่เกรงกลัวกฎหมาย ในข้อหาค้าเนื้อ "กวางป่า" โดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท หรือทั้งจำและปรับ ส่งดำเนินคดีไปแล้วนั้น
ตนเอง และนายประทีป เหิมพยัคฆ์ ผู้อำนวยการส่วนสัตว์ป่า นายไพฑูรย์ อินทรบุตร หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ และชุดเจ้าหน้าที่ สบอ.3 (บ้านโป่ง) จำนวน 7 นายได้ออกตรวจปราบปรามร้านค้าขายเนื้อสัตว์ป่า สองข้างทางถนนสายไทรโยค-กาญจนบุรี อย่างต่อเนื่อง
นายนิพนธ์ จึงได้สั่งการให้นายณรงค์ศักดิ์ สมศักดิ์ กับพวก 2 คน เจ้าหน้าที่สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) ปลอมตัวเป็นนักท่องเที่ยวอีกครั้งเข้าไปล่อซื้อเนื้อสัตว์ป่าจากร้านค้าที่โฆษณาหน้าร้านขายเนื้อสัตว์ โดยติดข้อความขาย "กวาง" "กระต่าย" อย่างเดียวไม่มีข้อความว่า "กวางป่า" "กระต่ายป่า" บริเวณข้างถนนสายไทรโยค-กาญจนบุรี บ้านท่าเสา หมู่ที่ 3 ตำบลท่าเสา อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี
โดยนายณรงค์ศักดิ์ ที่ปลอมตัวเป็นนักท่องเที่ยว ก่อนที่จะล่อซื้อเนื้อสัตว์ป่าดังกล่าว ได้สอบถามกับเจ้าของร้านค้าดังกล่าวว่าเป็นเนื้อกวางอะไร เจ้าของร้านตอบว่า เป็นเนื้อกวางลูซ่า ส่วนเนื้อกระต่ายไม่มี หลังจากได้รับคำตอบจากคนขายแล้ว นายณรงค์ศักดิ์ ได้ทำการซื้อเนื้อกวางลูซ่า จำนวน 1 กิโลกรัม ราคา 250 บาท เมื่อได้ซื้อขายเสร็จแล้วจึงได้ส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่ที่ซุ่มอยู่บริเวณใกล้เคียงกับร้านค้าดังกล่าวเข้ามาแสดงตัว และเข้าทำการตรวจสอบร้านค้าดังกล่าว
ทราบชื่อคนขาย และเจ้าของร้านดังกล่าว ภายหลังคือ น.ส.สุวิมล กุมาทะอายุ 47 ปี อยู่บ้านเลขที่ 146 หมู่ที่ 5 ตำบลท่าเสา อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี โดย น.สุวิมล ให้ถ้อยคำว่ายืนยันต่อเจ้าหน้าที่ว่าเป็นเนื้อกวางเลี้ยงลูซ่า ไม่ใช่เนื้อกวางป่าสัตว์ป่าคุ้มครอง
เจ้าหน้าที่จึงแจ้งให้ น.ส.สุวิมล ผู้ขายทราบว่าถึงแม้จะติดป้ายโฆษณาว่าขายเนื้อสัตว์ว่า "กวาง" และให้ถ้อยคำว่าเป็นเนื้อกวางเลี้ยงลูซ่า ที่สามารถซื้อขายได้ก็ตาม
เพื่อเป็นการป้องกันการนำเอา "กวางป่า" ซึ่งเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองมาขายโดยอำพรางว่าเป็นเนื้อสัตว์เลี้ยง "กวางลูซ่า" เป็นการหลีกเลี่ยงกฎหมาย
เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้ง น.ส.สุวิมล ทราบว่า จะนำชิ้นเนื้อสัตว์ดังกล่าวตามที่ น.ส.สุวิมล อ้างว่าไม่ใช่เนื้อสัตว์ป่า ไปตรวจ DNA ที่ศูนย์นิติวิทยาศาสตร์ กรมอุทยานฯ หากผลตรวจ DNA ชิ้นเนื้อสัตว์ดังกล่าวเป็นเนื้อกวางป่า ซึ่งเป็นสัตว์คุ้มครองลำดับที่ 14 จะนำตัว น.ส.สุวิมล มาดำเนินคดีตามกฎหมายสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562 ภายหลังต่อไป ซึ่ง น.ส.สุวิมล รับทราบ เจ้าหน้าที่จึงได้บันทึกไว้เป็นหลักฐาน
นอกจากนี้ นายนิพนธ์ ยังกล่าวต่อไปว่า ขอเตือนไปยังร้านค้าทั้งหลาย ที่แสดงข้อความโฆษณาหน้าร้านว่าเป็น "กวางป่า" หรือ "กระต่ายป่า" หรือ "เก้ง" หรือสัตว์ป่าอื่นๆ ซึ่งเป็นการสนับสนุนทางอ้อมให้มีการค้าหรือล่า สัตว์ป่าสงวน หรือสัตว์ป่าคุ้มครอง
แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ได้ล่อซื้อเนื้อสัตว์ป่าดังกล่าวแล้ว และนำชิ้นเนื้อสัตว์ดังกล่าวไปตรวจพิสูจน์ DNA หากผลปรากฏว่า เป็นเนื้อสัตว์ป่าเก๊ หรือเนื้อสัตว์เลี้ยง เช่น เอาเนื้อลูกวัวมาย้อมสีแดง หลอกขายว่าเป็นเนื้อ "กวางป่า" หรือโฆษณาติดป้ายว่าเป็น "กวางป่า" แต่ที่แท้จริงเป็นเนื้อสัตว์เลี้ยง "กวางลูซ่า" ถึงแม้คนขายจะไม่ผิดตามกฎหมาย พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562 แต่ก็เป็นการหลอกลวงผู้ซื้อซึ่งเป็นผู้บริโภค ผิดกฎหมายอาญามาตรา 271 ฐาน ผู้ใดขายของโดยหลอกลวงด้วยประการใดๆ ให้ผู้ซื้อหลงเชื่อในแหล่งกำเนิด สภาพ คุณภาพหรือปริมาณแห่งของนั้นอันเป็นเท็จซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปีปรับไม่เกิน 6 พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
และผิดกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ 2522 มาตรา 47 ฐานเจตนาก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในแหล่งกำเนิดสภาพคุณภาพปริมาณหรือสาระสำคัญประการอื่น อันเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 5 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
นายนิพนธ์ ยังกล่าวเสริมต่อไปว่า ร้านค้าที่มีพฤติกรรมโฆษณาหลอกลวงผู้บริโภคในการขายเนื้อสัตว์ป่าเก๊ หรือเนื้อสัตว์เลี้ยง หลอกลวงโฆษณาว่าเป็นเนื้อสัตว์ป่า เช่น "กวางป่า" "กระต่ายป่า" จึงขอให้ยกเลิกกระทำดังกล่าวเสีย มิฉะนั้นร้านค้าเหล่านั้นก็จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเด็ดขาดต่อไป