เชียงใหม่ - "เชฟบอย" เจ้าของร้านอาหารญี่ปุ่นเชียงใหม่เปิดใจกรณีโดนจับหลังทำโปรโมชันบุฟเฟต์แถมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยอมรับทำผิดพลาด หวังเป็นอุทาหรณ์ สุดเหนื่อยหาเงินจ่ายค่าปรับครึ่งแสนในภาวะธุรกิจทรุด คุยลูกน้องขอเลื่อนจ่ายค่าจ้าง
กรณีวานนี้ (21 ก.ค.) เพจ "Ai ToMoE japanese foods" ร้านอาหารญี่ปุ่น ในจังหวัดเชียงใหม่ โพสต์รูปภาพเจ้าของร้าน ขณะโดนจับกุมหลังจากร้านขายโปรโมชันเบียร์ในบุฟเฟต์ โดยระบุว่า "ประกาศยกเลิกโปรเครื่องดื่มมีฟอง ในบุฟเฟต์นะครับ พอดีผม (เชฟบอย) โดนจับเนื่องจากเป็นการจัดโปรโมชันเกี่ยวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในบุฟเฟต์ 499 บาท เพราะมีผู้หวังดี แจ้งร้องเรียนไปครับ ขอโทษนะครับ ที่ต้องยกเลิกแต่บุฟเฟต์ก็ยังมีปกติต่อไปนะครับ ผมก็จะยังใช้วัตถุดิบที่ดีที่สุดต่อไปให้ลูกค้า ตอนนี้ยังต้องหาค่าปรับอีกครึ่งแสน ในภาวะเเบบนี้มันคงยากลำบาก แต่ก็จะพยายามหาเงินมาจ่ายเพื่อประคองร้านให้เปิดต่อไป ให้ลูกค้าทุกท่านครับ เพื่อนๆ ร้านอาหารทุกท่านโปรดระวังทุกการโฆษณานะครับ รูปภาพเครื่องดื่มต่างๆ หรือแม้แต่ภาพเครื่องดื่มแอลกลฮอล์ในเมนูก็ผิดกฎหมายนะครับ ดูผมเป็นกรณีตัวอย่างนะครับ" ซึ่งโพสต์ดังกล่าวมีการแชร์และมีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นการแสดงความเห็นอกเห็นใจ
วันนี้ (22 ก.ค. 63) "เชฟบอย" หรือ นายศราวุธ จินนะแก้ว อายุ 38 ปี เจ้าของร้านอาหารญี่ปุ่นดังกล่าว เปิดเผยว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นวานนี้ โดยเจ้าหน้าที่ได้เข้ามาตรวจสอบและจับกุม เนื่องจากมีผู้แจ้งเบาะแสร้องเรียนว่าที่ร้านตนทำโปรโมชันบุฟเฟต์อาหารญี่ปุ่น พร้อมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งตนยอมรับผิด แล้วไปเสียค่าปรับที่สถานีตำรวจ ในข้อหาจัดโปรโมชันเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีโทษเสียค่าปรับไม่เกิน 10,000 บาท แต่เนื่องจากเป็นความผิดครั้งแรกและให้การรับสารภาพ จึงได้รับการลดโทษเสียค่าปรับ 1 ใน 3 หรือ 3,500 บาท
อย่างไรก็ตาม จากการที่เจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบที่ร้านพบว่าทางร้านมีการติดป้ายภาพตกแต่งร้านที่เป็นภาพจากประเทศญี่ปุ่น ลักษณะเป็นภาพวาดหรือการ์ตูน แต่มีภาพของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วย ทางเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เข้าตรวจสอบจึงแจ้งความผิดเพิ่มเติมอีกฐานส่งเสริมการขายเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ ซึ่งมีโทษปรับ 50,000 บาท แต่จะให้เข้าพบ และเสียค่าปรับในภายหลังประมาณสัปดาห์หน้า
"เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นผมยอมรับผิดด้วยดีเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ส่วนที่มีการนำเรื่องราวไปโพสต์ลงในโซเชียลมีเดียนั้นเพื่อต้องการให้เป็นอุทาหรณ์ และเตือนร้านอื่นๆ ที่อาจจะกระทำผิดโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์เช่นเดียวกับผม"
สำหรับค่าปรับ 50,000 บาทที่จะต้องนำไปเสียนั้น ยอมรับว่าเป็นจำนวนเงินที่ค่อนข้างสูง และสร้างความเดือดร้อนให้ตนเองมาก เพราะทุกวันนี้รายได้จากการเปิดร้านลดลงไปเกินกว่า 50% เนื่องจากสถานการณ์ covid-19 ขณะที่รายจ่ายต่างๆ ทั้งค่าเช่าร้านและค่าจ้างพนักงานยังเท่าเดิม
เบื้องต้นได้พูดคุยกับทางพนักงานแล้วว่าในเดือนนี้อาจจะขอจ่ายค่าจ้างเพียงบางส่วนก่อน และเจรจาขอผ่อนผันค่าเช่าที่เพื่อนำเงินไปจ่ายค่าปรับ ซึ่งพนักงานทางร้านก็เข้าใจดี ทั้งนี้หวังไม่อยากให้เกิดกรณีเช่นเดียวกันนี้กับร้านอื่นๆ อีก เพราะเข้าใจดีว่าในช่วงนี้การทำมาหากินแล้วได้เงินมาด้วยความสุจริตเป็นเรื่องที่ยาก