ราชบุรี - เจ้าหน้าที่ยุติธรรมราชบุรี พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือกรณีเด็กสาววัย 15 ปีเศษ มีความพิการทางสมอง ถูกล่วงละเมิดทางเพศที่บ้าน เตรียมหาที่เรียน และเยียวยาจิตใจ หลังผู้ต้องหาถูกตำรวจจับกุม
วันนี้ (17 มิ.ย. ) พ.ต.ท.มงคล วิลัยเกษม รอง ผกก.ป.สภ.บางแพ จ.ราชบุรี พร้อมด้วย น.ส.จิราณี เทศมงคล นักวิชาการยุติธรรม ชำนาญการพิเศษ หัวหน้ากลุ่มอำนวยความยุติธรรมและนักวิชาการ สำนักงานยุติธรรม จ.ราชบุรี กระทรวงยุติธรรม น.ส.สุภลักษณ์ ภาระ หัวหน้าบ้านพักเด็กครอบครัว จ.ราชบุรี พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายจุตพล สินสมบัติ กำนันตำบลหัวโพ นายศักดิ์สิทธิ์ แก่นศักดิ์ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 3 ลงพื้นที่ตรวจสอบบ้านพักของนางภัทรพร ว่องวิทย์ อายุ 52 ปี อยู่บ้านเลขที่ 27 หมู่ 3 ต.หัวโพ อ.บางแพ จ.ราชบุรี
หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.5 บก.ป. นำโดย ร.ต.อ.สุขสิทธิ์ ประเสริฐ สว.กก.5 บก.ป. และเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.5 บก. ป. ได้เข้าจับกุมตัวนายวรรธชัย (นามสมมติ) อายุ 23 ปี มีศักดิ์เป็นน้าเขย ซึ่งเป็นญาติทางฝ่ายสามี ข้อหา “ข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ โดยใช้กำลังประทุษร้ายโดยผู้อื่นไม่สามารถขัดขืนได้และพรากผู้เยาว์อายุกว่า 15 ปี แต่ยังไม่เกิน 18 ปี ไปเสียจากบิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร” ตามหมายศาลจังหวัดราชบุรีที่ 104/2563 ลงวันที่ 15 มิ.ย.2563 สามารถจับกุมตัวได้บริเวณสวนสาธารณะ ถนนโชคชัย ต.โพธาราม อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
นางภัทรพร ว่องวิทย์ ผู้เป็นยายของเด็กหญิงวัย 15 ปีเศษ เปิดเผยว่า รู้สึกเบาใจและดีใจที่มีเจ้าหน้าที่เข้ามาดูแล วันเกิดเหตุได้นั่งกินเลี้ยงงานบวชอยู่ข้างบ้าน บริเวณหลังบ้านจะอยู่ติดกัน เด็กกินข้าวแล้วและขออนุญาตตนเองว่าจะมาเข้าห้องน้ำ จึงคิดว่าไม่มีอะไร เพราะบ้านอยู่ติดกัน แต่เด็กหายออกมานาน รู้สึกสงสัยและได้ออกตามหาพร้อมให้สามีที่อยู่งานเลี้ยงมาช่วยกันค้นหาร่วมกับเพื่อนๆ แต่ไม่พบ
จนกลับมาที่บ้านมาเจอหลานเดินออกมาหลังจากถูกปล่อยตัวออกมาแล้ว สภาพผมที่หัวยุ่ง จึงถามหลานว่าไปไหนมา เห็นลักษณะหลานพูดแบบตะกุกตะกัก จึงค่อยปลอบขวัญกระทั่งหลานยอมพูดออกมาว่าโดนผู้ชายคนนี้มากระชากตัวไปจากในบ้าน ขณะที่กำลังชาร์จโทรศัพท์อยู่ให้ไปในป่า พอข่มขืนเรียบร้อยจึงปล่อยตัวออกมา ส่วนผู้ชายเดินออกไปอีกทาง จนมาพบกับตนเองพอดี
ผู้ชายคนนี้จะมาอยู่ที่เล้าไก่เกือบทุกวัน เพื่อให้น้ำไก่เลี้ยงไก่ในเล้าโดยมาเลี้ยงกับหลานของสามีตนเอง ผู้ต้องหาคนนี้มีศักดิ์เป็นญาติของแม่สามี ที่รู้เรื่องมานับเป็นครั้งที่ 4 แล้ว ก่อนหน้านี้เคยโดนที่บ้านของย่า ตอนนั้นย่าไม่อยู่บ้าน ส่วนยายทำงานอยู่หลังบ้าน ล่าสุด โดนกระทำเมื่อวันที่ 7 มีนาคม ช่วงกลางคืนที่มีงานกินเลี้ยงที่ข้างบ้านติดกัน โดยหลานมีโรคประจำตัวคือ เป็นออทิสติก ต้องใส่สายทางสมอง เคยผ่าตัดสมองตอนอายุได้ 13 วัน หมอระบุว่าเป็นน้ำซับสมอง เวลาไปไหนก็จะไปด้วยกัน 2 คน ไม่คิดว่าจะมาเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น
นายจตุพล สินสมบัติ กำนันตำบลหัวโพ กล่าวว่า ผู้ต้องหามาได้แฟนอยู่ในพื้นที่หมู่ 3 และยังมีบ้านเรือนติดกัน พฤติกรรมที่เห็นผ่านตา คือ เป็นคนที่ไม่มีพฤติกรรมโหดร้ายรุนแรง เป็นคนทั่วๆ ไป ชอบเล่นไก่ อยู่ในสังคมปกติเหมือนชาวบ้าน ไม่ได้มีสิ่งที่แสดงว่ามีพฤติกรรมรุนแรงก้าวร้าว มีอาชีพรับจ้าง เพิ่งแต่งงานมาได้ประมาณ 1 ปีกว่า เดิมเป็นคน อ.โพธาราม จ.ราชบุรี วันที่แต่งงานมีการจัดงานเลี้ยงเล็กๆ ในหมู่บ้าน บริเวณนี้ส่วนใหญ่จะเป็นญาติกัน โดยผู้ต้องหาก็เป็นเครือญาติพี่น้องกัน การสังเกตเห็นพฤติกรรมอาจจะลำบาก เพราะเป็นเครือญาติกัน ก่อนหน้านี้ น้องเคยเรียนอยู่ที่ศูนย์พัฒนาเด็กออทิสติกอยู่ในชุมชนที่มีเด็กเรียนอยู่ 19 คน มียายคอยไปรับส่งทุกวัน หลังจากอายุ 15 ปีแล้วได้หยุดเรียน และจะมาอยู่กับยายคอยดูแลอยู่กระทั่งมาเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น
ซึ่งทางกระทรวงยุติธรรม มีพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนแก่จำเลยในคดีอาญาอยู่ ส่วนนี้จะเยียวยา จะดูเรื่องการถูกละเมิดกรณีตกเป็นผู้เสียหายถูกผู้อื่นละเมิดทางเพศซึ่งจะอยู่ในท้ายพระราชบัญญัตินี้ ทางเจ้าหน้าที่จะประสานกับพนักงานสอบสวนจะมีประวัติของน้องผู้ถูกละเมิด พฤติการณ์แห่งคดี และส่งต่อไปที่สำนักงานยุติธรรมจังหวัดราชบุรีเป็นผู้ดำเนินการ จะดำเนินการผ่านอนุกรรมการประจำจังหวัดช่วยเหลือ และจะไม่เกี่ยวข้องกรณีที่น้องจะไปดำเนินคดีไปฟ้องร้องเรียกค่าทดแทนการละเมิดจากตัวคู่กรณีคือจำเลย
ในส่วนของหน่วยงานบ้านพักเด็กครอบครัว มีแผนช่วยการดูแลสภาพจิตใจของน้องและครอบครัว ส่วนเรื่องการเรียนอาจจะต้องเข้ามาคุยกับผู้ปกครองก่อนว่าอยากให้น้องเรียนอย่างไร เดิมน้องเคยเรียนอยู่ชั้น ป.4 เป็นการเรียนร่วมที่โรงเรียนหัวโพ แต่ยายให้ข้อมูลว่าน้องเรียนไม่ทันเพื่อน เพราะเป็นเด็กพิเศษเลยให้หยุดเรียน และจะหาดูโรงเรียนที่น้องจะสามารถไปเรียนร่วมได้ หรือเป็นโรงเรียนเฉพาะทางไป หรืออาจนำไปอยู่โรงเรียนประจำ ซึ่งคงต้องดูความพร้อมของครอบครัวก่อน