ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - หนุ่มออสเตรียพิการครึ่งล่าง พร้อมทนายดิ่งตรงจากหัวหินขึ้น สภ.แม่โจ้ ให้ปากคำและหลักฐานเพิ่มเติมเอาผิดคดีสาวไทยหลอกเอาเงินนับ 10 ล้าน หลังแจ้งความไว้เมื่อ 6 เดือนก่อน ด้าน ผกก.ยืนยันเดินหน้าให้ความเป็นธรรม
จากกรณีนายแกร์ฮาร์ด อายุ 49 ปี ชาวออสเตรียที่พิการทางร่างกายช่วงล่าง ปัจจุบันพำนักอยู่ที่บ้านพักเอกชนที่รับดูแลผู้สูงอายุในอำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ร้องเรียนขอความช่วยเหลือและขอความเป็นธรรมว่าถูกหญิงสาวชาวไทยอาชีพขับรถแท็กซี่ที่จังหวัดเชียงใหม่ หลอกเอาเงินไปเกือบ 10 ล้านบาท ระหว่างที่ใช้ชีวิตร่วมกันที่จังหวัดเชียงใหม่ จนแทบสิ้นเนื้อประดาตัว และย้ายไปอยู่ที่หัวหิน โดยได้แจ้งความดำเนินคดีไว้ที่ใช้ตำรวจที่จังหวัดเชียงใหม่แล้วเมื่อประมาณ 6 เดือนที่แล้ว แต่ยังไม่มีความคืบหน้า
วันนี้ (12 มิ.ย.) ที่สถานีตำรวจภูธรแม่โจ้ อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ นายแกร์ฮาร์ดพร้อมด้วยที่ปรึกษาทางกฎหมาย ได้เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ณฐพล แก้วกำเนิด ผู้กับการสถานีตำรวจภูธรแม่โจ้ และ พ.ต.ท.พงษ์ศักดิ์ เรือนแก้ว รองผู้กำกับการ (สอบสวน) และพนักงานสอบสวน ตามนัดหมายเพื่อให้ปากคำ พร้อมด้วยข้อมูลและหลักฐานต่างๆ เพิ่มเติมในการดำเนินคดีตามกฎหมาต่อหญิงสาวชาวไทยที่เป็นผู้ถูกกล่าวหาในคดีนี้ โดยเฉพาะหลักฐานการโอนเงินทั้งสิ้นกว่า 4 ล้านบาทจากนายแกร์ฮาร์ดให้แก่หญิงสาวชาวไทยผ่านบัญชีธนาคารเพื่อจ่ายค่าซื้อบ้าน แต่หญิงสาวชาวไทยหลอกและนำไปใช้อย่างอื่น
ทั้งนี้ หลังจากที่เสร็จสิ้นการเข้าให้ปากคำนานหลายชั่วโมง นายแกร์ฮาร์ดและที่ปรึกษากฎหมายได้ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ใดๆ ก่อนที่จะเดินทางกลับทันที โดยให้เหตุผลว่าทุกอย่างกำลังเป็นไปตามกระบวนการกฎหมาย และเข้าใจดีว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังทำงานอย่างเต็มที่ ขณะที่รายงานข่าวแจ้งว่า เบื้องต้นทางพนักงานสอบสวนเตรียมแจ้งข้อหายักยอกทรัพย์ต่อหญิงสาวชาวไทยรายนี้ โดยจะมีการเชิญตัวให้มารับทราบข้อกล่าวหาหรือนัดเจรจาไกล่เกลี่ยกับทางผู้เสียหาย หากไม่มาพบพนักงานสอบสวนหรือยังคงนิ่งเฉย คาดว่าน่าจะต้องมีการขอออกหมายจับต่อไปในเร็วๆ นี้
ด้าน พ.ต.อ.ณฐพล แก้วกำเนิด ผู้กับการสถานีตำรวจภูธรแม่โจ้ กล่าวว่า ยืนยันว่าคดีดังกล่าวนี้ทางสถานีตำรวจภูธรแม่โจ้ ให้ความสำคัญและติดตามอยู่อย่างต่อเนื่อง แต่ต้องยอมรับว่าการดำเนินการตามกฎหมายต้องเป็นไปตามขั้นตอนกระบวนการที่อาจจะต้องใช้เวลาบ้าง อีกทั้งคดีนี้สามารถเจรจาไกล่เกลี่ยยอมความกันได้ด้วยและทางฝ่ายผู้เสียหายก็อยากจะได้เงินคืนมากกว่า อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่สามารถตกลงกันได้และทางฝ่ายผู้เสียหายต้องการที่จะดำเนินคดีตามกฎหมายถึงที่สุด โดยได้เข้าพบให้ปากคำพร้อมหลักฐานเพิ่มเติม จากนี้ทางพนักงานสอบสวนจะได้เร่งดำเนินการตามกฎหมายให้ต่อไป ซึ่งยืนยันว่าจะให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายอย่างแน่นอน
