พิษณุโลก - คืบหน้าแม่ค้าสาวพรหมพิราม ซื้อมือถือเงินผ่อนเครื่องเดียวโดนยึดที่ดินทั้งตระกูลขายทอดตลาด ทำพ่อ-พี่ พร้อมครอบครัว 11 ชีวิต ที่มีทั้งคนแก่-ผู้พิการ..เคว้ง ไม่กล้าเซ็นรับทราบเงินเหลือจากกรมบังคับคดี
หน้าบ้านเลขที่ 94/2 หมู่ 1 ต.ศรีภิรมย์ อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก ของนางสุรีพร ศรีทอง อายุ 38 ปี ขณะนี้มีประกาศกรมบังคับคดีติดไว้ ระบุยอดหนี้ตามหมายบังคับคดี 27,486 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมและทนายความ 4,249 บาท ดอกเบี้ย 6,590.99 บาท รวมหนี้ 38,325.99 บาท (จ่ายให้บริษัทมือถือแห่งหนึ่งใน อ.พรหมพิราม) ยอดเงินคงเหลือจากการขายทอดตลาดคืนให้ผู้ถือกรรมสิทธิ์เดิม (นางสุรีพร-พ่อ และพี่ชาย) รวม 472,000 บาท
หลังนางสุรีพรได้ไปซื้อโทรศัพท์มือถือที่ร้านแห่งหนึ่งใน อ.พรหมพิราม เมื่อปี 2559 ราคา 35,428 บาท ดาวน์ไป 8,500 บาท ที่เหลือ 27,000 บาท ทำสัญญาผ่อนส่งเดือนละ 1,495 บาท 18 งวด แต่ผ่อนได้ 2 เดือนแล้วไม่สามารถส่งต่ออีก 16 งวดได้ เพราะร้านก๋วยเตี๋ยว-บะหมี่หมูแดงที่มาลงทุนเปิดในตัวเมืองพิษณุโลกได้ประมาณปีเศษๆ ก็ขาดทุน ไม่มีแม้แต่เงินใช้จ่ายประจำวัน สามีต้องหันไปทำงานต่างประเทศ
กระทั่งถูกฟ้องบังคับคดียึดที่ดินเนื้อที่ 4 ไร่ ซึ่งมีชื่อนางสุรีพรถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับพ่อ คือ นายประเสริฐ ศรีทอง อายุ 76 ปี กับพี่ชาย ขายทอดตลาดไปในราคา 530,000 บาท ทำให้ครอบครัวนางสุรีพร-พ่อ-พี่ชาย ที่มีทั้งผู้สูงอายุ-ผู้พิการ ซึ่งสร้างบ้านอาศัยอยู่บนที่ดินแปลงนี้รวม 3 หลัง 11 ชีวิต เคว้งทันที เนื่องจากผู้ชนะการประมูล-ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินรายใหม่ตั้งราคาขายคืนที่ดินแปลงนี้ไว้สูงถึง 1.6 ล้านบาท
นางสุรีพรที่ขณะนี้ยึดอาชีพขายหม่าล่าบนรถพ่วงริมถนนพระร่วง เมืองพิษณุโลก เปิดเผยว่า ทางเจ้าหน้าที่ได้ลงมาตรวจสอบพื้นที่พร้อมเจรจาพูดคุย แจ้งยอดหนี้และยอดเงินคงเหลือให้เซ็นรับทราบ แต่ตนและครอบครัวไม่กล้าเซ็น เนื่องจากเกรงว่าจะมีปัญหาในภายหลังอีก
“ยอบรับผิดทุกอย่าง เป็นหนี้เขาจริง ขาดส่งจริง แต่เพราะตอนนั้นไม่มีเงินจริงๆ จึงเมินเฉยเรื่อยมาจนมาถึงวันนี้วันที่มรดกของครอบครัวชิ้นสุดท้ายคือที่ดิน 4 ไร่ โดนยึดและนำไปขายทอดตลาดแล้ว”
นางสุรีพรพูดทั้งน้ำตาด้วยเสียงสั่นเครือว่า ติดใจอยู่เหมือนกัน หากจะยึดจริงอยากให้ยึดในส่วนของตน บ้านของตนเพียงผู้เดียวตนยอมรับได้ แต่ทำไมต้องไปยึดบ้านของพ่อซึ่งแก่มากแล้ว บ้านพี่ชายซึ่งมีภรรยาเป็นผู้พิการ และบ้านหลังนั้นยังเป็นบ้าน สสวท. ตามโครงการสมเด็จพระเทพฯ ที่สร้างให้คนผู้พิการ ทำไมไม่ยึดที่บ้านของตนเองเพียงคนเดียว ตอนนี้เครียดมากที่ทำให้ทุกคนเดือดร้อน ร้องไห้ทุกครั้งที่เห็นหน้าพ่อ เพราะพ่อแก่มากแล้วเขาเครียดมาก ถึงขั้นเอ่ยปากว่าหากไม่มีที่ ไม่มีบ้านอยู่พ่อก็ไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ไปทำไม สงสารพี่ชายและพี่สะใภ้ที่พิการ และหลานที่จะไม่มีบ้านอยู่
“อยากจะวิงวอนขอความเห็นใจจากผู้ชนะประมูลที่ไปได้ในราคา 530,000 เราพยายามติดต่อขอซื้อที่คืนในราคาที่แตกต่างไม่มากนัก แต่ถ้าจะขายคืนให้ในราคา 1.6 ล้านบาท บอกตรงๆ ว่าไม่มีปัญญาหาเงินมากมายขนาดนั้นไปซื้อได้ อยากขอความเห็นใจให้ช่วยลดราคาลงมาเพื่อให้เราได้พอมีกำลังในการซื้อคืนด้วย”
นางสุรีพรยังบอกด้วยว่า อยากฝากไว้เป็นอุทาหรณ์สำหรับทุกคนที่เป็นหนี้ อย่าคิดว่าเป็นหนี้แล้วเพิกเฉยไม่จ่ายก็แค่ถูกฟ้องล้มละลายหรือติดแบล็กลิสต์เคดิตบูโรเหมือนตน ความจริงมันไม่ใช่เลย คดีมันหนักหนาสาหัสมาก ใครที่เป็นหนี้อยู่ตอนนี้อยากให้ไปคุยกับเจ้าหนี้ ไปขอไกล่เกลี่ยและชดใช้คืนในเจ้าหนี้
“อย่าให้เหมือนตนที่เป็นหนี้เพียง 37,000 แต่กลับถูกยึดที่พร้อมบ้านในราคาถึง 530,000 บาท จากนี้ 11 ชีวิตที่มีทั้งคนแก่ คนพิการ และเด็ก ยังไม่รู้จะใช้ชีวิตกันต่อไปอย่างไร จะไปอยู่ที่ไหน หากต้องโดนไล่ออกจากบ้านจริงๆ”
จ.ส.อ.พัฒณปกรณ์ ดอนตุ้มไพร เจ้าหน้าที่ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และนายทรงธรรม เกิดคุณธรรม นายก อบต.ศรีภิรมย์ อ.พรหมพิราม ที่เคยนำนางสุรีพร พร้อมครอบครัวเข้าร้องขอความช่วยเหลือจากศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดพิษณุโลก เมื่อ 5 มิ.ย.ที่ผ่านมา ระบุว่าการเจรจาซื้อคืนที่ดินในราคาที่เหมาะสมหลายครั้งยังไม่เป็นผล
อย่างไรก็ตาม ทางปลัดอำเภอพรหมพิรามแจ้งว่าจะนัดผู้ที่ชนะการประมูลทรัพย์สินจากกรมบังคับคดีมาเพื่อเจรจาขายคืนที่ดินอีกครั้ง ซึ่งก็ไม่รับปากว่าจะสามารถตกลงซื้อคืนได้ในราคาเท่าใด หรือจะซื้อคืนที่ดินได้หรือไม่