อุดรธานี - ด่วน! ผอ.โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล ขับรถเอสยูวีหรู หลุดโค้งพลิกคว่ำเสียชีวิตคาที่บนถนนรอบเมืองอุดรธานี ตะลึงไมล์รถค้างอยู่ที่ 140 กม./ชม. คาดโหมงานหนักต่อเนื่องช่วงรับวิกฤตโควิด-19 อาจเกิดหลับในจนเกิดอุบัติเหตุสลด
ค่ำวันนี้ (20 เม.ย. 63) เวลาประมาณ 19.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่าได้เกิดอุบัติเหตุรถยนต์ส่วนบุคคลเสียหลักพลิกคว่ำบนถนนรอบเมืองแยกวิทยาลัยพลศึกษาไปบ้านเลื่อม จึงเดินทางไปตรวจสอบ ที่เกิดเหตุพบรถยนต์มิตซูบิชิ ปาเจโร ทะเบียน กพ 2992 อุดรธานี เจ้าหน้าที่กู้ชีพส่งเสริมธรรมสถานเข้าไปกู้รถยนต์ขึ้นจากข้างทาง ส่วนคนขับเสียชีวิตคาที่ในที่เกิดเหตุ
เจ้าหน้าที่ได้นำร่างผู้เสียชีวิตเก็บไว้ที่โรงพยาบาลอุดรธานี ทราบชื่อผู้เสียชีวิตในอุบัติเหตุดังกล่าวต่อมา คือ ว่าที่ ร.ต.บรรจง มูลตรีแก้ว ผู้อำนวยการโรงเรียนโรงเรียนอุดรพิทยานุกูล ที่สำคัญจากการตรวจสอบสภาพรถยนต์คันเกิดเหตุเสียหายยับเยิบ และไมล์รถเข็มชี้ค้างไว้ที่ตัวเลข 140 กม./ชม.
ด.ต.เจริญ จันทร์รักษ์ ผบ.หมู่จราจร สภ.เมืองอุดรธานี เปิดเผยว่า หลังรับแจ้งเหตุได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่เกิดเหตุทันที พบว่าสภาพคนขับไม่ได้สติ คาดเข็มขัดนิรภัย มีแผลที่บริเวณลำคอ มีสิ่งแปลกปลอมไหลออกมาทางจมูก ทีมตรวจสอบคาดว่าน่าจะเป็นมันสมองของผู้เสียชีวิตไหลออกมาทางช่องจมูก และทีมตรวจสอบยืนยันว่าผู้ประสบอุบัติเหตุได้เสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ
ส่วนสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุสยองดังกล่าวคาดว่าคนขับอาจจะหลับในเกิดวูบในขณะขับรถมายังจุดเกิดเหตุ เพราะว่าทราบว่าเป็น ผอ.โรงเรียน และทราบจากครูที่มาดูสภาพรถและผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุว่า ผอ.โรงเรียนต้องเตรียมการ และโหมงานหนักหลายอย่าง ทั้งเรื่องการเตรียมรับมือโรคระบาด และอยู่ในช่วงระหว่างจะเปิดเทอมใหม่ ท่านอาจจะพักผ่อนไม่เพียงพอ เบื้องต้นคาดว่าผู้เสียชีวิตกำลังเดินทางกลับบ้านที่บ้านหนองสำโรง ที่ห่างออกไปแค่ 1 กิโลเมตร
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุพบว่าก่อนถึงจุดเกิดเหตุ 200 เมตร มีจุดยูเทิร์นรถ ถนนเป็นโค้งลาดเอียง มีไฟฟ้าส่องสว่างชัดเจน ข้างทางเป็นคันดินระบายน้ำขนาดใหญ่ โดยรถยนต์คันประสบเหตุขับมาด้วยความเร็วสูง ดูได้จากเข็มไมล์ที่หยุดค้างที่ 140 กม./ชม.ไม่มีร่องรอยของการเบรก ซึ่งรถเมื่อเสียหลักแล้วได้พุ่งเข้าชนคันดินล่องระบายน้ำทางเข้าพื้นที่ว่างเปล่าจนรถพังเสียหายยับเยินและคนขับเสียชีวิตทันที ส่วนสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุที่แท้จริงเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะได้สอบสวนต่อไป