ภาคเหนือ - เผยจนถึงวันนี้..นักรบโควิดในภาคเหนือเสียชีวิตกลางศึกโรคระบาดแล้ว 3 ราย ทั้ง อสม.สูงอายุที่ยังต้องนั่งด่านชุมชน นักรังสีวิทยา มือเอกซเรย์ทั้งผู้ป่วยและกลุ่มเสี่ยง และพยาบาล
ขณะที่ทุกภาคส่วนต้องระดมพลังร่วมสกัดกั้นการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 กันอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะบุคลากรด้านสาธารณสุขที่ถือเป็นนักรบแนวหน้าในสงครามโรคระบาด ที่นอกจากจะเสี่ยงต่อการติดเชื้อแล้ว ล่าสุดในพื้นที่ภาคเหนือพบว่ามีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเสียชีวิตระหว่างปฏิบัติหน้าที่แล้วถึง 3 ราย
โดยที่จังหวัดเชียงราย น.ส.มนิสรา ใจบุญ หรือพยาบาลนิด อายุ 39 ปี พยาบาลวิชาชีพประจำตึกผู้ป่วยสมเด็จย่าศัลยธรรม โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ซึ่งเป็นโรคหัวใจรั่วมาหลายปี ได้ล้มป่วยลงเมื่อวันที่ 30 มี.ค.ที่ผ่านมาด้วยอาการเกล็ดเลือดต่ำ ความดันปอดสูง ลิ้นหัวใจรั่ว ไตทำงานหนักและต้องใช้การฟอกไต ก่อนติดเชื้อในกระแสเลือดแล้วเสียชีวิต
ญาติยืนยันว่าพยาบาลนิดไม่ได้ทำหน้าที่ดูแลผู้ป่วยโควิด ไม่ได้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย แต่หลังเกิดโรคระบาดทั้งแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลทุกคนต้องทำงานอย่างหนักมากขึ้น กระทั่งเสียชีวิต ปัจจุบันญาติได้นำศพตั้งบำเพ็ญกุศลที่ภูมิลำเนาเดิม ณ บ้านเลขที่ 8 ม.16 บ้านไม้ยา ต.ไม้ยา อ.พญาเม็งราย ฌาปนกิจวันที่ 9 เม.ย.ที่จะถึงนี้
ส่วนที่จังหวัดลำพูน ซึ่งมีเจ้าหน้าที่เอกซเรย์เสียชีวิตระหว่างปฏิบัติหน้าที่ดูแลผู้เข้าเกณฑ์เฝ้าระวังการติดเชื้อโควิด-19 คือ นายชัยวัฒน์ ศรียอง อายุ 47 ปี นักรังสีเทคนิค รพ.ลำพูน ล่าสุดญาติได้นำศพไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดกอม่วง หมู่ที่ 8 ต.แม่แลง อ.ป่าซาง จ.ลำพูน
นายแพทย์ พงษ์ศักดิ์ โสภณ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลลำพูน เปิดเผยว่า จนท.โรงพยาบาลลำพูนที่เสียชีวิต เป็น จนท.เอกซเรย์ มีโรคประจำตัวคือความดันโลหิตสูง แต่สามารถควบคุมโรคได้ โดยทั่วไปถือว่าสุขภาพยังแข็งแรง ได้เสียชีวิตขณะมาทำหน้าที่เอกซเรย์ผู้ป่วย จากนั้นจะอาบน้ำก็มีอาการวูบแน่นหน้าอก พูดไม่ได้ จึงนำมารักษาที่ห้องฉุกเฉินและหัวใจหยุดเต้นก่อนที่จะเสียชีวิตในเวลาต่อมาในช่วงสายวันที่ 4 เม.ย. 63 ซึ่งทาง รพ.ลำพูนได้มีการรายงานไปยังกระทรวงให้ทราบแล้ว และทาง รพ.ลำพูนได้มีการช่วยเหลือเบื้องต้นแก่ครอบครัวของ จนท.รายดังกล่าว และกำลังเสนอต้นสังกัดเพื่อขอรับการช่วยเหลือตามระเบียบของราชการต่อไป
ทั้งนี้ นางจตุพร ศรียอง อายุ 47 ปี ภรรยา และลูกสาวของผู้ตาย ซึ่งยังอยู่ในอาการโศกเศร้า เปิดเผยว่า สามีมีโรคประจำตัวคือโรคความดันโลหิตสูง แต่สามารถควบคุมโรคได้ ช่วงสายวันที่ 4 เม.ย. สามีกลับบ้านช้าผิดปกติ กระทั่งมีคนโทร.มาบอกว่าสามีเป็นลม ตอนแรกคิดว่าไม่เป็นอะไรมากกระทั่งมาทราบจากแพทย์ที่ทำการรักษาว่าสามีเสียชีวิต
“ตอนนี้ยังทำใจไม่ได้เหมือนกัน ยอมรับว่าตั้งแต่มีการระบาดของไวรัสโควิด-19 เขาทำงานหนักขึ้นเพราะต้องคอยเอกซเรย์ผู้ป่วยต้องสงสัยจำนวนมาก เลยทำให้ไม่ค่อยได้พักผ่อน และหลังจากที่มีการเสนอข่าวออกไปครอบครัวเราได้รับกำลังใจจากคนทั่วไปจำนวนมาก จากเดิมที่เคยท้อแท้ว่าครอบครัวจะอยู่อย่างไรก็มีกำลังใจที่จะสู้ชีวิตต่อไป และขอยืนยันว่าสามีไม่ได้ป่วยเป็นโควิด แต่คงเป็นเพราะทำงานหนักและไม่ได้พักผ่อน”
ขณะเดียวกัน ที่จังหวัดพิษณุโลกก็เกิดเหตุนางทองใส เศรษฐสูงเนิน อสม.บ้านเนินมะเกลือ ต.ท่าหมื่นราม อ.วังทอง จ.พิษณุโลก ที่มีความดันขึ้นสูงและเส้นโลหิตในสมองแตกขณะเข้าเวรประจำจุดคัดกรองบ้านเนินมะเกลือเมื่อคืนวันที่ 5 เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งนายพิพัฒน์ เอกภาพันธ์ ผู้ว่าฯ พิษณุโลก ได้เดินทางไปเคารพศพพร้อมมอบเงินช่วยเหลือครอบครัวเบื้องต้น 5,000 บาท นอกจากนั้นจะเร่งดำเนินมาตรการเยียวยาตามระเบียบอย่างสูงสุด
นายแพทย์ รัฐภูมิ ชามพูนท รักษาการนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพิษณุโลก กล่าวแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิต พร้อมทั้งประชุมชี้แจงประธานชมรม อสม.ทุกอำเภอให้ดูแลผู้สูงอายุตามคำแนะนำของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข คือ ต้องประเมินสุขภาพ อสม.ทุกคน หากมีอาการป่วยอยู่แล้วไม่ต้องออกปฏิบัติงานเคาะประตูบ้าน หรือประจำด่านชุมชนเด็ดขาด โดยเฉพาะคนที่มีอายุมากกว่า 70 ปีขึ้นไป ซึ่งในพิษณุโลกมีมากกว่า 1,200 คน