เพชรบูรณ์ - เถ้าแก่รีสอร์ตใหญ่เผยเบื้องหลังตัดสินใจขึ้นป้ายประจานรายตัว ตั้งแต่บิ๊กตู่-บิ๊กป๊อก-รมว.ทส. ยันผู้ว่าฯ เพชรบูรณ์ บอกรับปากตั้งแต่ ครม.สัญจรกันยาฯ 61 แต่ไม่ทำ แฉแรกๆ สั่งทุบสั่งรื้อ แต่เจอลูกผู้ว่าฯ ทำเองทุกอย่างชะงัก
นายประสม ประคุณสุขใจ กรรมการผู้จัดการบริษัทเมาเทนพาร์ค อินเตอร์เนชั่นแนล กอล์ฟแอนด์รีสอร์ทจำกัด เปิดเผยต่อผู้สื่อข่าวถึงการลงทุนขึ้นป้ายยักษ์ริมทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 12 ระบุข้อความว่า "ลุงตู่ บิ๊กป๊อก รมว.ทส. ผวจ." ปล่อยให้โรงแรมรีสอร์ตเถื่อนและบุกรุกป่าเขาค้อผุดนับพันแห่ง ไม่ยอมบังคับใช้กฎหมาย ทั้งยังยื่นข้อร้องเรียนผ่านนายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน และล่าสุดได้ยื่นไปยังกรรมาธิการ ป.ป.ช. และยุติธรรมอีกด้วย
เป็นเพราะ รมว.ทส., มท.1, ผวจ.พช. ฯลฯ รับรู้เรื่องราวการเอาพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติไปเอื้อให้กลุ่มทุนสร้างรีสอร์ต-โรงแรมทั้งเขาค้อและภูทับเบิก แต่ปล่อยให้เป็นเรื่องคาราคาซังมานาน ไม่ดำเนินการอะไรมาปีเศษแล้ว
นายประสมบอกว่า ตนเรียกร้องมาตั้งแต่ปี 2548-49 ยุคนายอำเภอเขาค้อคนหนึ่งที่ตอนนี้ขึ้นเป็นผู้ว่าฯ ไปแล้ว ที่รู้ดีถึงปัญหาภูทับเบิก แต่กลับไม่ปฏิบัติตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 35/2559 เรื่อง มาตรการในการแก้ไขปัญหาการครอบครองและใช้ประโยชน์ที่ดินป่าภูทับเบิกในท้องที่ตำบลวังบาลและตำบลบ้านเนิน อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ ทั้งที่เป็นกฎหมายตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว ที่ระบุว่าไม่สามารถสร้างรีสอร์ตในพื้นที่ได้
“แรกๆ ก็สั่งทุบ สั่งรื้อเคลียร์จนเกลี้ยง 50-60 รีสอร์ต กระทั่งไปเจอรีสอร์ตแห่งหนึ่ง ซึ่งมีลูกของผู้ว่าฯ คนหนึ่งก่อสร้างทำรีสอร์ตเสียเองทำให้ทุกอย่างหยุดชะงัก จากนั้นจังหวัดฯ ก็อ้างทำแผนแม่บท ลักษณะให้สามารถดำเนินการได้ แต่แท้จริงคือขัดกฎหมาย ขัดคำสั่ง คสช.35/59”
ส่วนปัญหาที่ดินเขาค้อก็ร้องเรียนไปยังกระทรวงมหาดไทยตั้งแต่ช่วงปี 2559 จนกระทั่งมีหนังสือด่วนที่สุด ที่ มท.0307.6 / ว 7037 ลงวันที่ 9 ธันวาคม 2559 เรื่องการดำเนินการตามแผนการป้องกันและปราบปรามการประกอบธุรกิจโรงแรมโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติโรงแรม พ.ศ. 2547 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ส่งถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด
ขณะที่ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ยังมีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ 0018.1 / ว 5053 ลงวันที่ 9 ธันวาคม 2559 ถึงนายอำเภอทุกอำเภอ เรื่องการดำเนินการตามแผนการป้องกันและปราบปรามการประกอบธุรกิจโรงแรมโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติโรงแรม พ.ศ. 2547 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560
แต่ต่อมาอำเภอเขาค้อและอำเภอหล่มเก่า ซึ่งไม่บังคับใช้กฎหมายตามคำสั่งจังหวัดเพชรบูรณ์ แต่กระทรวงมหาดไทยกับจังหวัดเพชรบูรณ์ก็ไม่ดำเนินคดีต่อนายอำเภอทั้งสองอำเภอ
นายประสมบอกว่า ปี 61 ห้วงวันที่ 17-18 กันยายนมีการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร จ.เลย จ.เพชรบูรณ์ ตนจึงขึ้นป้ายข้อความว่า..ให้นายกฯ ช่วยด้วย เพราะมีโรงแรมนับพันแห่ง ทั้งร้านอาหาร ห้องพัก ฯลฯ กระทั่งนายกฯ เห็นป้ายก็สะดุด สั่งให้ผู้ว่าฯ รับตนไปพบ มท.1 (พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา) , รมว.กระทรวงทรัพย์ฯ (พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์), นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ (รมว.การท่องเที่ยวฯ) และแม่ทัพภาคที่ 3 โดยพูดคุยกัน 1 ชั่วโมงเศษ ซึ่งก็รับปากว่าจะแก้ไข
จากนั้นตนได้ร้องศาลปกครอง ซึ่งในที่สุดศาลก็พิพากษา บังคับใช้ภายใน 120 วัน ก็ไม่ทำตาม จังหวัดฯ อ้างถึงการอุทธรณ์ต่ออีก ต่อมาจังหวัดอ้างคำสั่ง คสช.ที่ 6/2562 ซึ่งไม่มีผลต่อโรงแรมที่สร้างอยู่ในป่า แต่นำมาอ้างเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินธุรกิจอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ โดยไม่มีการเสียภาษี-ไม่มีความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยว และเอาเปรียบผู้ประกอบการที่ทำถูกกฎหมาย ยังเป็นการปล้นที่ดินหรือผืนป่าของคนไทยทั้งประเทศ ซึ่งข้าราชการบางคนยังร่วมทำธุรกิจนี้ด้วยซ้ำ
ขณะที่จังหวัดฯ ก็ตั้งกรรมการเพื่อให้เป็นไปตามนโยบายจัดสรรที่ดินแห่งชาติ แต่แท้จริงแล้วเป็นเรื่องของการจัดสรรที่ดินคนจน ไม่ใช่ผู้ประกอบการโรงแรม-รีสอร์ต จึงไม่เข้าข่ายผู้มีฐานะยากจน มิหนำซ้ำยังเชิญเจ้าของรีสอร์ตมาเป็นกรรมการอีก ซึ่งผิดหลักการ
“รัฐมนตรีทั้ง 3 คนรับฟังปัญหา แล้วบอกว่าจะบังคับใช้กฎหมาย สุดท้ายก็เงียบมาจนถึงทุกวันนี้ ดังนั้นผมจึงขึ้นป้ายดังกล่าว เพราะรับปากแล้วไม่ทำ รวมทั้งอธิบดีกรมป่าไม้ด้วย ส่วนผู้ว่าฯ ก็หนักสุด คือเหมือนพยายามทำสิ่งที่ผิดให้เป็นสิ่งถูก แม้ว่าผมได้ทำหนังสือร้องเรียนพฤติการณ์ผู้ว่าฯ และนายอำเภอไปถึงผู้ตรวจการแผ่นดินรัฐสภา ก็ยังไปขอข้อมูลกับผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์อีก ล่าสุดจึงได้ทำหนังสือถึงประธานกรรมาธิการ ป.ป.ช. และกรรมาธิการกระทรวงยุติธรรม เพื่อให้ลงมาแก้ไขปัญหาภูทับเบิกและเขาค้ออีกทางหนึ่ง”