ราชบุรี - หน่วยพญาเสือสนธิกำลังจับคนร้ายล่าสัตว์ป่า พบซากสัตว์ป่าสงวน เก้งหม้อ อีเห็นข้างลาย และอีเห็นเครือ ควบคุมตัวไปดำเนินคดี
วันนี้ (22 พ.ย.) เจ้าหน้าที่จากหน่วยพญาเสือ ติดตามซากสัตว์ป่าที่ฟาร์มเลี้ยงวัว ไม่มีเลขที่ ม.1 ต.ปากไก่ อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี จึงประสานไปยังนายประทีป เหิมพยัคฆ์ ผู้อำนวยการส่วนอนุรักษ์สัตว์ป่า สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 พร้อมด้วย ร.ต.ท.ภีมภัทร หทยะวัฒน์ รอง สว.สอบสวน สภ.ปากท่อ เข้าดำเนินการตรวจสอบภายในฟาร์ม
เบื้องต้น พบ นายไพรวัลย์ ชุมพวง อายุ 33 ปี ซึ่งเป็นชาวราชบุรี และนายโบอู อายุ 22 ปี ชาวพม่า ซึ่งเป็นลูกจ้างภายในฟาร์มเลี้ยงวัว และพบซากสัตว์ป่า ซึ่งเป็นเก้งหม้อ จำนวน 1 ซาก อีเห็นข้างลาย จำนวน 1 ซาก และอีเห็นเครือ จำนวน 1 ซาก
นอกจากนี้ ยังพบรถยนต์กระบะยี่ห้อโตโยต้า วีโก้ หมายเลขทะเบียน บพ 2432 ราชบุรี ซึ่งใช้ในการนำซากสัตว์ป่ามา นอกจากนี้ ยังพบอุปกรณ์ที่ใช้ในการชำแหละสัตว์ป่าอีกหลายรายการ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจยึดไว้เพื่อทำการตรวจสอบ
ระหว่างดำเนินการ ได้มี นายนิโนรส วงศ์แก้วมณี อายุ 41 ปี และนายชยพล ศรีสุพพัตพงษ์ อายุ 38 ปี โดยรับว่าเป็นเจ้าของฟาร์ม เจ้าหน้าที่จึงได้เชิญทั้งหมดมาสอบสวนที่ สภ.ปากท่อ ซึ่งหากพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องก็จะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด
นายไพรวัลย์ ได้ให้การรับสารภาพว่า ตนเองได้ไปซื้อสัตว์ป่าดังกล่าวมาจาก บ้านโป่งกระทิง อ.ปากท่อ ซึ่งตนเองมีเพื่อนอยู่แถวบ้านหินสี และบ้านโป่งกระทิง จึงเดินทางไปแถวนั้นบ่อยครั้ง ซึ่งตนเห็นว่านายพรานได้นำซากเก้ง และอีเห็น มาขาย ประกอบกับตนนั้นชอบกินเนื้อสัตว์ป่าอยู่แล้ว และตั้งใจจะนำเนื้อสัตว์ป่าไปฝากนายจ้างซึ่งเป็นเจ้าของฟาร์มเลี้ยงวัว จึงได้ซื้อมาไว้ และนำกลับมาชำแหละในฟาร์มที่ตนเองทำงานอยู่ จนรุ่งเช้าอีกวันจึงพบว่าเจ้าหน้าที่ได้แกะรอยตามมาจับกุมตนที่ฟาร์มดังกล่าว
ด้าน นายพนัชกร โพธิบัณฑิต เจ้าหน้าที่หน่วยพญาเสือ ซึ่งเป็นชุดจับกุมเปิดเผยว่า ตน และ น.ส.เนตรนภา งามเนตร นายอรรถพงษ์ เภาอ่อน นางมงคล ไชยภักดี ซึ่งทั้งหมดเป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยพญาเสือ ซึ่งได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่ามีการจับสัตว์ป่าและนำซากมาชำแหละที่ อ.ปากท่อ พวกตนจึงตามแกะรอยมาจนพบผู้ต้องหาทั้งหมดที่ฟาร์มวัว ม.1 ต.ปากไก่ อ.ปากท่อ จึงได้แสดงตัวและขอเข้าตรวจสอบฟาร์มดังกล่าว โดยได้รับแจ้งว่าผู้ต้องหาจะนำซากสัตว์ป่ามาชำแหละเพื่อกิน และขายภายในหมู่บ้าน
แต่จากการสอบสวนผู้ต้องหาได้ให้การปฏิเสธ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่นั้นมีข้อมูลหลักฐานมัดตัวผู้ต้องหาครบแล้ว จึงได้นำหลักฐาน และของกลางทั้งหมดเข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.ปากท่อ ซึ่งคาดว่ามูลค่าความเสียหายนั้นไม่น้อยกว่า 500,000 บาท
เบื้องต้น ได้แจ้งข้อกล่าวหาทั้ง 4 คนว่า ร่วมกันครอบครองซากสัตว์ป่าสงวนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ร่วมกันค้าซากสัตว์ป่าสมบูรณ์โดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันซ่อนเร้นอำพรางของที่ได้มาจากการกระทำความผิดตาม ม.19 ม.20 ม.55 พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 4 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ