อุทัยธานี - สาวใหญ่ชาวอุทัยฯ ร่ำไห้วอนหน่วยงานรัฐช่วยตามหาสามี..กู้เงินนอกระบบทำตัวเป็น “ผีน้อย” ถือวีซ่านักท่องเที่ยวไปทำงานเกาหลีตามคำชวนนายหน้าสาวหวังหาเงินปลดหนี้ แต่หายตัวไร้วี่แวว
หลังผู้ใช้เฟซบุ๊กชาวอุทัยธานีรายหนึ่งได้โพสต์ขอความช่วยเหลือตามหาตัวญาติที่เดินทางไปทำงานเกาหลี แล้วติดต่อไม่ได้เลยนานกว่า 9 วัน โดยทางผู้เป็นภรรยาและครอบครัวร้อนใจ หมดหนทางที่จะตามหา จึงหวังใช้ช่องทางออนไลน์เป็นสื่อกลางให้ช่วยตามหาตัวผู้เป็นสามี
จากการตรวจสอบทราบว่าผู้ที่กำลังตามหาญาติคือ นางบุญยิ่ง จันทวี อายุ 55 ปี อยู่บ้านหมู่ที่ 13 ต.หนองกระทุ่ม อ.ทัพทัน จ.อุทัยธานี ประกาศผ่านโซเชียลฯ ตามหาสามีคือ นายวิเชียร จันทวี อายุ 56 ปี หลังเดินทางไปทำงานเกาหลีกับ นายวิชาญ พัดสี อายุ 54 ปี ชาวบ้านหมู่ที่ 9 ต.หนองกระทุ่ม อ.ทัพทัน เมื่อ 19 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ เวลา 23.30 น. กำหนดถึงสนามบินกิมแฮ ปูซาน เวลา 06.45 น. ของวันที่ 20 ต.ค. แต่ถูกแยกทางกัน เนื่องจาก ตม.ตรวจนายวิชาญแล้วไม่ผ่านและถูกกักขังไว้ 1 คืน ก่อนถูกส่งตัวกลับมายังประเทศไทย ส่วนตัวนายวิเชียรผ่าน ตม.ไปได้แล้วก็ขาดการติดต่อไปจนถึงขณะนี้
นายวิชาญได้เล่าว่า ตน พร้อมนายวิเชียรได้ตัดสินใจเดินทางไปเกาหลีเพื่อหวังว่าจะไปทำงานด้วย เพราะมีคนแถวบ้านไปทำแล้วบอกว่าได้เงินดี มีเงินกลับมาให้ทางบ้านใช้หนี้สินกัน โดยได้ติดต่อผ่านนายหน้าผู้หญิงรายหนึ่งที่เป็นคนในตำบลเดียวกัน แต่ไปได้สามีที่เกาหลี และไม่เคยเห็นหน้าตากันมาก่อน
โดยนายหน้าหญิงคนดังกล่าวบอกกับพวกตนทั้งคู่ผ่านทางโทรศัพท์และทางไลน์ว่าจะพาไปทำงานที่สวน ไปเก็บแอปเปิล ซึ่งจะได้ค่าแรงรวมแล้วประมาณ 50,000 บาทต่อคน/เดือน ตนมองว่าจะเป็นช่องทางสร้างรายได้จึงตกลงที่จะเดินทางไปทำงาน
จากนั้นก็มีการแจ้งขั้นตอนการทำหนังสือเดินทางต่างๆ รวมถึงไปเข้าอบรมวิธีการพูดคุย การตอบคำถามอย่างไรให้ผ่าน ตม. โดยให้เดินทางแบบนักท่องเที่ยว ซึ่งจะเสียค่าอบรมเป็นเงิน 1,000 บาท ก่อนทำหนังสือเดินทาง พร้อมหาซื้ออุปกรณ์กันหนาวต่างๆ เพื่อเตรียมความพร้อมในการเดินทาง
นายวิชาญบอกว่า พวกตนทั้งสองคนเดินทางไปขึ้นเครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม และถึงเกาหลีในเช้าวันต่อมาคือ 20 ตุลาคม ซึ่งนายวิเชียรผ่านการตรวจของ ตม.เกาหลี แต่ตนไม่ผ่านและถูกนำตัวไปขัง 1 คืน ทำให้แยกจากนายวิเชียรตั้งแต่นั้นแล้วไม่เจอกันอีกเลย
ต่อมามีล่ามคนไทยเดินมาถามตนว่ามีเงินกี่บาท ก็ตอบไปว่ามี 6,000 บาท พร้อมกับยื่นเงินให้ ทางเจ้าหน้าที่ก็ได้นำเงินไป 4,000 บาท โดยระบุว่าจะซื้อตั๋วให้เดินทางกลับไทย แล้วตนก็ได้ถูกส่งตัวกลับ ส่วนนายวิเชียรนั้นไม่สามารถติดต่อได้เลย เนื่องจากก่อนเดินทางนายวิเชียรได้ฝากมือถือไว้กับภรรยา โดยกล่าวว่าจะมาซื้อเครื่องพร้อมเบอร์ใหม่ที่เกาหลี แต่ดันมาเกิดเหตุดังกล่าวขึ้นเสียก่อน จึงไม่รู้ว่าตอนนี้นายวิเชียรอยู่ที่ไหนและเป็นอย่างไรบ้าง
“ตอนนี้ทำได้แค่ติดต่อสอบถามนายหน้าหญิงคนดังกล่าวให้ช่วยติดตามหาตัวนายวิเชียรเพื่อให้ส่งตัวกลับมาที่บ้าน แต่ก็ได้คำตอบแค่ว่ากำลังช่วยตามหาตัวอยู่แต่ยังไม่พบ ซึ่งรวมเงินที่พวกตนทั้งคู่เสียไปในครั้งนี้กว่า 70,000 บาท ก็คิดว่าคงจะถูกหลอกให้ไป เพราะหากทำจริงต้องมารับตัวนายวิเชียรไปทำงานแล้ว แต่นี่กลับไม่มารับตัวแล้วเหมือนเพิกเฉยไม่เร่งช่วยตามตัวให้เลย จึงอยากให้ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยประสานและตามหาตัวนายวิเชียรกลับบ้านโดยเร็ว”
ด้านนางบุญยิ่ง ผู้เป็นภรรยานายวิเชียร เล่าทั้งน้ำตาว่า ตอนนี้ทุกข์ใจและกังวลใจมาก ห่วงสามีว่าจะไปอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่ เป็นตายร้ายดีอย่างไร เพราะไม่ใช่บ้านเรา ที่ตัดสินใจให้สามีไปนั้นก็เพราะนายหน้าบอกว่าได้เงินดี จึงหวังจะหาเงินปลดหนี้สิน เพราะ 1-2 ปีมานี้ฝนแล้งทำนาไม่ได้ รายได้ไม่มี จึงจำใจที่จะจากบ้านไปทำงานแดนไกล
“ก่อนจะเดินทางก็ได้พากันไปกู้เงินนอกระบบมา 40,000 บาท เพื่อใช้เป็นค่าเดินทางและซื้อของทั้งหมด ตอนนี้ทุกข์ใจมากๆ ภาษาอะไรเขาก็ไม่รู้ ซ้ำยังเป็นโรคเกาต์ วอนขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยตามหาตัวสามี แล้วพากลับมาในเร็ววัน ซึ่งถ้ากลับมาก็ไม่ต้องไปทำงานที่ไหนอีกแล้ว”